๓. สร้างศรัทธา อุดมการณ์ และปณิธานในการพัฒนาการเรียนรู้
ถ้าเพื่อนครูสามารถสร้างศรัทธาให้กับตัวเองได้ตาม ๔ ข้อต่อไปนี้ ได้อย่างมั่นใจ
และชัดเจน แสดงว่า เพื่อนครูมีอุดมการณ์และปณิธานที่จะพัฒนาการจัดการศึกษาของสังคมไทยให้มีคุณภาพ
และประสิทธิภาพแล้ว
๑. เพื่อนครูศรัทธาที่จะเป็น "ครูที่แท้จริง"
หรือยัง
ถ้าเพื่อนครูยังไม่เข้าใจคำว่า "ครู" อย่างแท้จริง
จะเหนื่อยง่าย ท้อแท้ง่ายเมื่อเจอปัญหาและอุปสรรค
ไหนจะต้องเปลี่ยนความเชื่อ ความคิด
ความเคยชินต่าง ๆ รวมทั้งต้องไม่หวั่นไหวเวลาเจอคนคอยเสียดสี
เยาะเย้ย พูดจาไม่ให้กำลังใจเป็นประจำ (ความหมายที่ดีที่สุดของคำว่า
"ครู" คือความหมายที่พระพุทธศาสนาให้ไว้ : ครู = ผู้ฝึก)
๒. เพื่อนครูมีความศรัทธาที่จะลงมือทำงานอันยิ่งใหญ่และเป็นคุณูปการยิ่งต่อสังคมหรือยัง ถ้าเพื่อนครูมุ่งมั่นที่จะลงมือทำจริง
เพื่อนครูไม่ต้องอาศัยบุญวาสนาอะไร เพียงแต่อาศัยสติปัญญา
คิดไตร่ตรองเป้าหมายที่เพื่อนครูจะทำเพื่อเด็กอย่างจริงใจเท่านี้ก็พอ
๓. เพื่อนครูยอมรับว่าแท้จริงแล้วก็ต้องการความเจริญก้าวหน้าในอาชีพด้วยเหมือนกัน
เพื่อนครูอย่าพยายามคิดว่าแค่นี้ก็พอแล้ว เรามักน้อย สันโดษ ไม่อยากมักใหญ่ใฝ่สูง
เพื่อนครูต้องใฝ่ฝันถึงความก้าวหน้า และการมีชื่อเสียงระดับชาติด้วย
๔. เพื่อนครูศรัทธาและตระหนักเห็นจริงแล้วว่า ประเทศไทยของเราถึงเวลาแล้วที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในการจัดการศึกษา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงกระบวนการจัดการเรียนการสอนของครู
เพื่อนครูมี ๒ ทางเลือกที่ต้องตัดสินใจ
ทางแรกจะรอให้มีครูคนใดคนหนึ่ง
หรือโรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่งลงมือก่อนแล้วคุณค่อยทำตามเขา
หรือทางที่สองเพื่อนครูจะลงมือทำด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรอให้มีใครมาบังคับหรือทำเป็นตัวอย่าง
ลงมือทำก่อนมันยาก ต้องลองผิดลองถูก
สู้รอเลียนแบบคนอื่นไม่ได้สบายกว่าเยอะเลย แต่คิดดูให้ดี หากเราทำก่อน เราก็สำเร็จก่อน ผลสำเร็จก็จะตอบแทนเราก่อนด้วยความสุข
ความภูมิใจ ความอิ่มใจที่สามารถช่วยเหลือเยาวชนและสังคมให้มีคุณภาพขี้น
และผลพลอยได้ทางอื่น เช่น เงินเดือนตำแหน่ง
ผลงานทางวิชาการ เงินค่าวิทยฐานะ
สิ่งเหล่านี้จะเป็นของเราตามมาในที่สุด
เพื่อนครูพร้อมแล้วใช่ไหมครับ
เมื่อตกลงใจแน่นอนแล้ว เราก็จะเริ่มเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองเพื่อนำไปพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามขั้นตอน
๓ ขั้น ดังนี้
ขั้นตอนที่ ๑ เพื่อนครูต้องเข้าใจเรื่องหลักสูตรอย่างถ่องแท้
เห็นความสำคัญของหลักสูตร และสามารถเชื่อมโยงหลักสูตรไปสู่การจัดการเรียนรู้ของตัวเองได้ นั่นหมายถึงเพื่อนครูต้องรู้ว่า ถ้าเป้าหมายการศึกษา คือการเรียนรู้
หลักสูตรคืออะไร และควรจะมีรูปแบบแบบใด
เพื่อนครูต้องสามารถวิเคราะห์หลักสูตรเพื่อนำไป
กำหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง (หลักสูตรแกนกลาง พ.ศ. ๒๕๕๑ เรียกว่า ตัวชี้วัด)
กำหนดสาระการเรียนรู้(เนื้อหา) กำหนดหน่วยการเรียนรู้
กำหนดเวลาเรียน กำหนดแนวการจัดการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผลการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพในภาพรวมได้
(สังเกตไหมครับว่า ถ้าการศึกษาคือการเรียนรู้
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง/ตัวชี้วัด จะเป็นตัวกำหนดสาระการเรียนรู้(เนื้อหา)
แต่ถ้าการศึกษาคือการมีความรู้ เนื้อหาจะสำคัญกว่าการมีจุดประสงค์การเรียน)
ขั้นตอนที่ ๒
เพื่อนครูต้องเน้นการจัดการเรียนรู้ ที่ "ฝึก" อย่างมีขั้นตอนกระบวนการเรียนรู้เป็นระบบ โดยดำเนินการตั้งแต่วิเคราะห์ศักยภาพธรรมชาติผู้เรียน
วิเคราะห์ผลการทดสอบที่ผ่านมา
แล้วนำผลการวิเคราะห์มาสังเคราะห์กับผลการวิเคราะห์หลักสูตร
เพื่อนำไปวางแผนการสอนรายคาบ / ชั่วโมง การหากิจกรรม
หรือวิธีการ
หรือแนวทางการจัดการเรียนรู้ต่างๆที่มีขั้นตอนการปฏิบัติตามธรรมชาติหรือจิตวิทยาการเรียนรู้
รวมทั้งการผลิต/การหาสื่อที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ
ที่นำมาฝึกผู้เรียนให้บรรลุตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
ตามศักยภาพและสภาพจริงของนักเรียนที่เป็นอยู่
ขั้นตอนที่ ๓
เพื่อนครูต้องสามารถประเมินหรือวัดผล “การเรียนรู้” แต่สภาพปัจจุบันขั้นตอนนี้มีปัญหาในการปฏิบัติมาก
เพราะเพื่อนครูยังเคยชินต่อการวัดและประเมิน“ความรู้ ความจำตามหนังสือที่ใช้เรียน” ซึ่งมักเป็นข้อสอบแบบปรนัย (ที่จัดว่าเป็นรูปแบบการวัดผลที่ด้อยคุณภาพ แต่มีประสิทธิภาพมาก) การประเมินหรือวัดที่เพื่อนครูต้องทำ
คือ การประเมินผลตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
หรือตัวชี้วัดจากการปฏิบัติจริงที่มีผลงานออกมาในลักษณะเป็นองค์รวมและบูรณาการจากชีวิตประจำวันจริงๆ และที่ลืมไม่ได้คือเพื่อนครูต้องนำผลการวัดและประเมินไปวิจัย
เพื่อปรับปรุงวิธีการการจัดการเรียนรู้ให้มีคุณภาพประสิทธิภาพในครั้งต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น