๖. การประเมินผลการเรียนรู้ ต้องประเมินตามเป้าหมายหรือตัวชี้วัด
การประเมินผลเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ เพราะเป็นตัวตัดสิน หรือชี้ให้เราเห็นว่า
สิ่งที่เราทำลงไปนั้น บัดนี้ได้บรรลุผลเพียงใด
ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว แต่การวัดผลประเมินผลการเรียนปัจจุบันในสถานศึกษาส่วนใหญ่ไม่สามารถตัดสินคุณภาพอะไรได้เลย
ซึ่งผลการทดสอบแห่งชาติ (O-net) เป็นประจักษ์พยานได้
แม้นักเรียนจะมีผลทางการเรียนสูงมากในโรงเรียน แต่ผลการทดสอบแห่งชาติกลับตกต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน บางวิชาคะแนนเฉลี่ยไม่ถึงร้อยละ ๒๐ ก็มี ปัญหาเรื่องนี้มีหลายสาเหตุอยู่หลายประการ ผมจึงเสนอแนวคิดในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ตามสาเหตุ คือ
๑. ครูส่วนใหญ่วัดความรู้
ไม่ได้วัดจากการเรียนรู้ ทั้งนี้เพราะการจัดการเรียนรู้ของครูส่วนใหญ่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายการศึกษา หรือตามหลักสูตร หรือตามตัวชี้วัดการเรียนรู้ ทำให้เวลาวัดและประเมินผล มักจะวัดจากการจดจำเนื้อหาความรู้ในหนังสือแบบเรียนที่ครูใช้สอนอยู่ในโรงเรียนนั้นๆ
ซึ่งการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่มีคุณภาพจริงๆ ต้องมุ่งเน้นไปที่เป้าหมาย
หรือผลลัพธ์ที่สังคมต้องการ โดยเป้าหมายหรือผลการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ได้จริง เกิดจากพื้นฐาน ๓ ประการ ดังนี้
๑. อะไรคือสิ่งที่มีคุณค่าที่ครู
หรือโรงเรียนต้องการ (เป้าหมาย)
๒. อะไรคือพยานหลักฐานของความสำเร็จ (ผลงานที่ผ่านเกณฑ์
/เงื่อนไข /ความพอใจฯ)
๓. อะไรคือสิ่งที่จะทำให้เกิดประสบการณ์การเรียนรู้
ความเข้าใจ ความสนใจ และความยอดเยี่ยมในผลงานนั้นๆ (กิจกรรมการเรียนรู้ /
แหล่งศึกษาค้นคว้า / สื่อการเรียนรู้)
ดังนั้น การวัดประเมินผลการเรียนรู้ จะวัดจากว่าผู้เรียนทำกิจกรรมต่างๆ จนเกิดการเรียนรู้ตามเป้าหมาย
หรือมาตรฐานการเรียนรู้หรือยัง (Output) และการเรียนรู้นั้นมีระดับคุณภาพขนาดไหน
(Performances) จนนำไปสู่ผลงานที่ดี (Outcome) หรือ หลักฐานประจักษ์พยานแห่งการเรียนรู้ที่ทุกคนพึงพอใจนั้นๆ (Impact)
๒. การวัดผลประเมินผลไม่สอดคล้องกับสภาพจริงตามธรรมชาติการเรียนรู้ของมนุษย์ การวัดผลประเมินผลที่ดี ก็คือ การประเมินผลเชิงประจักษ์ ซึ่งเป็นการประเมินตามสภาพจริงของชีวิตจริงและธรรมชาติของสังคม ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่า คนเป็นครูที่แท้จริงมักทำอยู่แล้วและทำเป็นประจำ แต่ไม่รู้ตัวเองเท่านั้น
เพียงแต่เปลี่ยนจากการประเมินที่เน้นวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยข้อสอบ
และตัดสินด้วยคะแนน มาเป็นวิธีการใช้วิธีดูจากผลงาน
การนำเสนอ การปฏิบัติ พฤติกรรม บุคลิก ลักษณะ และอีกหลายๆ วิธีตามเงื่อนไขการเรียนรู้
และเกณฑ์ (Rubric) อย่างเป็นระบบ โดยมีหลักฐานชัดเจน
ทั้งนี้
การประเมินผลตามสภาพจริงเชิงประจักษ์ ต้องเป็นการประเมินไปตามเป้าหมายและเงื่อนไขในลักษณะองค์รวมและบูรณาการจากชีวิตจริง
ตัวอย่างเช่น วิชาพืชสวน (กล้วย)
ให้เพื่อนครูลองพิจาณาดูว่าข้อไหนเป็นเป้าหมาย หรือจุดประสงค์ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
หรือ ตัวชี้วัดที่ดีในการจัดการเรียนรู้
๑) เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจการปลูกต้นกล้วย
๒) เพื่อให้นักเรียนมีทักษะในการปลูกต้นกล้วย
๓) เพื่อให้นักเรียนปลูกต้นกล้วยได้
และนำไปใช้ในชีวิตได้
๔) เพื่อให้นักเรียนสามารถแปรรูปหรือจำหน่ายผลิตผล
จากต้นกล้วยที่นักเรียนปลูกได้
ถ้าเพื่อนครูเห็นว่า ข้อ ๔) เป็นเป้าหมายการจัดการเรียนรู้ที่ดี ถือว่าเพื่อนครูเข้าใจเรื่องการจัดการเรียนรู้บ้างแล้ว จะเห็นว่า ข้อ ๔) ครอบคลุมทั้ง ๓ ข้อแรก และนอกจากนั้นยังครอบคลุมไปถึงการดูแลรักษาระหว่างเติบโต ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ในการจัดการผลผลิตของตนเองอีกด้วย
ถือว่า ข้อ ๔)
เป็นเป้าหมายที่ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงซึ่งเป็นไปในลักษณะองค์รวมและบูรณาการชีวิตจริง
การประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริงเชิงประจักษ์ มีรายละเอียดในการดำเนินการ
ดังนี้
- ตัวชี้วัดการเรียนรู้ต้องชัดเจนระบุรายละเอียดครบทั้งเป้าหมาย เกณฑ์ เงื่อนไขความสำเร็จ และกิจกรรมการเรียนรู้
- ตัวชี้วัดการเรียนรู้ที่ดี ต้องประเมินได้หลายอย่าง (หลายมิติ) ในงานชิ้นเดียวกัน เช่น สามารถประเมินความรู้ได้หลายวิชา ประเมินคุณลักษณะ และผลการปฏิบัติงานของนักเรียน เจตคติ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความสามารถ ทักษะการเรียนรู้ทักษะการปฏิบัติ และประเมินกระบวนการทำงาน ฯลฯ
- ต้องประเมินให้เห็นว่าได้ลงมือปฏิบัติจริง หรือรู้จริง เข้าใจจริงจากแหล่งและข้อมูลที่หลากหลาย เช่น จากผลงานกิจกรรมที่ทำ แบบทดสอบ แบบบันทึกการปฏิบัติงาน โครงงาน แฟ้มสะสมงาน บันทึก ความรู้สึก รายงาน รูปถ่าย หลักฐานต่างๆ ฯลฯ เป็นต้น
- จะให้การประเมินน่าเชื่อถือ ทุกคนยอมรับ และเป็นการประเมินที่สะท้อนผลการเรียนรู้จริง ก่อนที่ครูจะตัดสินให้คะแนน หรือจัดระดับ ให้น้ำหนัก ครูต้องใช้หลายๆ วิธีมาประเมินประกอบด้วย เช่น การสังเกต การสอบถาม การสัมภาษณ์ การตรวจสอบ การทดสอบ การปฏิบัติจริง การแข่งขัน โดยอาจจะใช้ผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย เช่น ตัวนักเรียน เพื่อนนักเรียน นักเรียนรุ่นพี่ หรือผู้ปกครอง มามีส่วนร่วมด้วย ไม่ใช่นำมาจากผลการตัดสินของครูแต่เพียงผู้เดียวเหมือนการวัดผลแบบเดิมๆ
- ต้องมีการประเมินภาพรวมวิชา ๒ ครั้ง คือ ประเมินก่อนเรียน และหลังเรียน และต้องประเมินไปตามตัวชี้วัดการเรียนรู้เมื่อเสร็จสิ้นแต่ละกิจกรรม หรือทุกแผน หรือทุกหน่วยการเรียนรู้
๓. หากเรายอมเหนื่อยและลงมือปฏิบัติจริงทีละหน่วย/แผน
ในช่วงปีแรก ๆ เราจะทำได้ง่ายขึ้นและเบาแรงได้ในภายหลังตามลำดับ
เราจะมองเห็นแนวทางในการประเมินชัดเจนขึ้น
เครื่องมือประเมินที่ค่อยๆสร้างและสะสมไว้จะมากขึ้น
สามารถนำไปใช้ในโอกาสต่อไปได้ งานสร้างเครื่องมือจะลดลง
การประเมินตามสภาพจริงเชิงประจักษ์ของครูก็จะมีประสิทธิภาพขึ้นตลอดเวลา
๔. การประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง
มีผลดีทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จริง มีทักษะและความสามารถอย่างแท้จริง
ถ้าเพื่อนครูช่วยกันประเมินการเรียนรู้ตามสภาพจริง จะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาในทุกระดับ
ในสภาพวิกฤตทางคุณภาพการศึกษาของชาติในขณะนี้ การให้ความสำคัญต่อการประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริงเชิงประจักษ์
จะช่วยให้ครูและโรงเรียนรู้ปัญหาในการจัดการเรียนรู้
ได้รู้จุดอ่อนที่แท้จริงที่ต้องแก้ไขได้ถูกต้องตรงประเด็น
ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตคุณภาพการศึกษาของไทยได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น