๗. ข้อคิดทิ้งท้าย ฝากไว้ให้เพื่อนครู
จากประสบการณ์ยาวนานเกือบ ๒๕ ปีของการเป็นครูมัธยม ช่วยร่างหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ ๓ ครั้ง อาจารย์ระดับอุดมศึกษา ๑๔ ปี ผู้ประเมินคุณภาพการศึกษา(ภายนอก) ๗ ปี
และวิทยากรบรรยายมากกว่า ๒๐ ปี ผมได้ข้อสรุป
เพื่อเสนอแนะต่อเพื่อนครู ที่จะก้าวสู่การเป็นครูที่แท้จริง ๖
ประการดังนี้
ประการแรก
เพื่อนครูจะเป็นครูที่แท้จริงได้ ต้องมองโลกตามความเป็นจริง
(Assertive) คือเห็นเด็กเป็นเด็ก
ไม่ใช่ผู้ใหญ่ในร่างเด็กตัวเล็ก ไม่คาดหวังว่าเขาจะรู้สึกผิดชอบชั่วดี
มีความรับผิดชอบเท่ากับผู้ใหญ่ที่เจริญเติบโตทางสติปัญญาแล้ว (ผู้ใหญ่สมัยนี้ส่วนมาก จิตใจอารมณ์ยังเหมือนเด็กน้อยๆอยู่เลย) และเด็กเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่รอเรามาช่วยพัฒนาศักยภาพ
ไม่ควรมีการชี้ถูก ชี้ผิด กับเด็กแบบตายตัว แต่ควรให้รู้ว่าถูก ผิด
ควร ไม่ควร ขึ้นอยู่กับเป้าหมายชีวิตที่เราเลือกเดิน
หรือให้รู้ว่าทุกอย่างตัดสินที่กาลเทศะบุคคล
เพื่อนครูไม่ต้องกลัวว่าสิ่งที่จะทำ
หรือพัฒนาการเรียนรู้เป็นสิ่งผิด (เว้นแต่การไม่เข้าสอน) ไม่ต้องกลัวใคร(ผู้อวดรู้ดี)ในโรงเรียนให้มากเกิน ทั้งผู้บริหาร
หรือหัวหน้างานทางฝ่ายวิชาการทุกระดับที่ชอบบังคับให้เราต้องสอนตามที่เคยทำๆกันมา เพราะกฎหมายทางการศึกษา เช่น พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ หลักสูตรการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
ระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆของกระทรวงศึกษาธิการ
ระเบียบการส่งผลงานเลื่อนวิทยฐานะครู ล้วนแต่ส่งเสริมให้ครูคิดค้นหาวิธีการสอนที่ดีๆ
ใหม่ๆ เพื่อนำมาพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพในจัดการศึกษาทั้งนั้น
เมื่อเพื่อนครูกล้าคิด กล้าทดลอง
กล้าเปลี่ยนแปลง การสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาการเรียนรู้จึงจะเกิดขึ้น
มิฉะนั้น เพื่อนครูก็จะได้วิธีการเดิม ๆ
ที่ล้าหลัง และไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ทุกขณะ
สิ่งที่เหมาะในอดีต อาจจะเป็นอุปสรรคและปัญหาในปัจจุบันก็ได้
ความเชื่อมั่น
และความตั้งใจที่จะช่วยเหลือพัฒนาศักยภาพของเด็กอย่างจริงจัง
จะช่วยให้เพื่อนครูมีจินตนาการในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ หรือคิดสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ใหม่
ๆเสมอ
ประการที่ ๒ ครูที่แท้จริงต้องสามารถจัดระบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย
ซึ่งทำให้เกิดการเรียนรู้กับเด็กทุกคนได้ ดังนั้น
การรู้จักวิเคราะห์ผู้เรียนจากข้อมูลต่าง ๆ จึงเป็นภารกิจสำคัญมากของครูที่แท้จริง
เด็กบางคนเรียนรู้บางเรื่องได้ด้วยตนเอง สามารถคิดวิเคราะห์ หรือจัดลำดับความคิดก็เข้าใจแล้ว เด็กบางคนจะเรียนรู้ได้ดีเมื่อทำพร้อมกับเพื่อน ๆ
บางคนก็ชอบเรียนคนเดียว เด็กบางคนเรียนรู้ได้ดีจากสื่อ
เด็กบางคนก็อาจต้องเรียนรู้จากการทำ แต่ครูสุดยอดที่แท้จริง
จะเชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนสามารถเรียนรู้ได้จากการทำกิจกรรม หรืองานที่เขาต้องออกแบบวางแผนเอง
ลงมือทำเอง แก้ปัญหาเอง สรุปทบทวนบทเรียนปัญหาเอง
ประการที่ ๓ แผนการจัดการเรียนรู้ของครูที่แท้จริง
จะต้องยึดหยุ่นสำหรับสถานการณ์ที่ไม่ได้วางแผนไว้ เพราะนักเรียนของเราเป็นมนุษย์ไม่ใช่วัตถุที่ไร้ชีวิตชีวา
การเปลี่ยนแปลงอาจเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่ได้วางแผนไว้ทันที “แผนการเรียนที่ยืดหยุ่น” มีความหมายเสมือนหนึ่ง
คือ โอกาสทางการเรียนรู้ ที่มาบรรจบกับความต้องการของผู้เรียน
และสัมพันธ์กับผลลัพธ์หรือมาตรฐานการเรียนรู้ของสังคมได้
ประการที่ ๔ ครูที่แท้จริงต้องสามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในการเรียนรู้น่าสนใจ
มีชีวิตชีวา มีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ
ลดข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ
ที่อาจทำให้เด็กมีความทุกข์ ในชั้นเรียนและมีทัศนะไม่ดีต่อการจัดการเรียนรู้ของครู
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบเรียนปนเล่น
(Play and Learn) นอกจากจะสนุก สร้างบรรยากาศที่ดีในห้องเรียนแล้ว ยังทำให้เกิดการผ่อนคลายแก่ทุกคน
เด็ก ๆ จะอยากมาโรงเรียน ไม่หนีเรียน
สื่อการเรียนรู้ช่วยสร้างสีสันความน่าสนใจ
เป็นเครื่องผ่อนแรงทำให้ง่าย คล่องตัว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แบบฝึกหัดหรือใบงาน ซึ่งเป็นตัวแทนเป้าหมายขั้นตอนวิธีการสอนของครู
ในการมอบหมายกิจกรรมการเรียนรู้แก่นักเรียน ต้องทำให้สวยงามมีสีสัน ดึงดูดความสนใจ มีกระบวนการขั้นตอนตามลำดับการเรียนรู้ อย่าสักแต่ทำให้เสร็จมันจะกลายเป็นใบรำคาญ
ของนักเรียน
การมอบการบ้าน ควรยืดหยุ่นให้เด็กทำได้เต็มตามศักยภาพ
แต่ไม่ควรมากจนเป็นภาระหนักเกินวัยเด็ก ถ้าสามารถบูรณาการกับวิชาอื่น
ๆ หรือตกลงกันทั้งโรงเรียนเรื่องการบ้านของนักเรียน
โรงเรียนที่ผมเคยรับผิดชอบบริหารจัดการ ระดับประถมศึกษา ผมจะให้วิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษมีการบ้านทุกวัน
วิชาภาษาไทยให้มีการบ้านสัปดาห์ละ ๑ ครั้ง วิชาวิทยาศาสตร์ให้มีการบ้าน ๒ สัปดาห์ครั้ง ส่วนวิชาอื่นๆผมให้มีการบ้านได้เพียงเดือนละ
๑ ครั้ง ส่วนในระดับมัธยม ผมให้วิชาวิทยาศาสตร์สั่งการบ้านเพิ่มได้ทุกสัปดาห์
ซึ่งวิธีนี้จะลดภาระงานของเด็กลงได้มาก ไม่เดือดร้อนผู้ปกครองมากนักที่ต้องมาช่วยลูกหลานทำงานส่งครู
โดยเฉพาะวิชาการงานฯ และศิลปะ (ที่ให้ภาษาไทยสัปดาห์ละครั้ง
เพราะวิชาภาษาไทยมีเรียนสัปดาห์ละ ๖ ชั่วโมง
ทุกชั่วโมงมีการเรียนรู้ตามทักษะทางภาษา และชั่วโมงสุดท้ายให้มีการทดสอบหน่วยนั้นๆทันที
การบ้านวิชาภาษาไทย คือให้ไปอ่านหนังสือในวันเสาร์อาทิตย์
เรื่องอะไรก็ได้ แล้วสรุปย่อส่งครูในวันจันทร์
วิธีนี้ทำให้นักเรียนมีความสามารถทางภาษาเพิ่มขึ้น และยังส่งเสริมการอ่านตามโครงการนโยบายกระทรวงอีกทางหนึ่ง)
ประการที่ ๕ ครูที่แท้จริงต้องทำให้การเรียนรู้...เกิดจากความเมตตา...ด้วยใจปรารถนาดี.....
นั่นคือการใช้ความรัก ความเข้าใจ ความเมตตา เป็นพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน
การสอนด้วยความรักและเมตตา
จะเป็นรากฐานที่สำคัญยิ่งของการศึกษาที่ทำให้เกิดการเรียนรู้
โดยเพื่อนครูที่หวังจะเป็นครูผู้จัดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพควรถือปฏิบัติ
ดังนี้
๕.๑
เอาใจใส่ไต่ถามห่วงใยต่อนักเรียน ทั้งในและนอกห้องเรียน
๕.๒ ยอมรับว่านักเรียนแต่ละคน
คือคนที่สามารถพัฒนาศักยภาพได้ และเป็นคนใฝ่ดี
๕.๓ ให้ความสนใจอย่างจริงจังกับปัญหา
และคำถามของนักเรียน
๕.๔ ยอมรับความเป็นคน
และความแตกต่างของนักเรียน
๕.๕
ให้เสรีภาพในการตัดสินใจเลือกเองในการทำกิจกรรมอย่างมีเหตุผล
๕.๖ ไม่ควรสรุปว่า
นักเรียนเป็นคนไม่ดี (เลว) ไม่มีความสามารถ (โง่)
ไม่น่าคบ (ขี้เกียจ) และไม่น่ารัก (เหลวไหล)
ประการสุดท้าย
ผมขอเรียนว่า ครูที่แท้จริงระดับไหนก็ไม่สามารถขับเคลื่อนคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนทั้งโรงเรียนให้สำเร็จโดยตัวคนเดียวได้
ถ้าพอเห็นว่าทั้งโรงเรียนคิดอย่างเดียวกัน มีเอกภาพทั้งเป้าหมายและวิธีการเหมือนกัน ก็ลงมือเลย
ถือว่าเพื่อนครูโชคดีมากที่เจอโรงเรียนในฝันอย่างนี้
แต่ถ้าพุดก็แล้ว นำเสนอก็แล้ว
ชักชวนแล้ว มีคนทำบ้าง ก็อย่าท้อใจ แอบลงมือทำตามความต้องการเลยครับ
ไม่ช้าผลดีก็จะเห็นเป็นที่ประจักษ์เอง ดูอย่างคุณครูชาตรี สำราญ
กว่าทั้งโรงเรียนจะเห็นด้วย ใช้เวลานานมาก
แต่อย่าหาเรื่องทุกข์ด้วยการไปคาดหวังให้ครูทั้งหมดทำตามเลยครับ
เพราะประสบการณ์ในชีวิตครูของผม ผมสามารถจำแนกครูได้
ดังนี้
แย่ที่สุด คือ ครูยถากรรม พวกนี้มีอาชีพมาทำงานในโรงเรียน พวกนี้จะมาแต่ร่างกาย
ลืมเอาจิตวิญญาณความรักเพื่อนมนุษย์มาด้วย
การเรียนของนักเรียนจึงเป็นไปตามยถากรรม จึงต้องทำใจปลงว่า
เพราะกรรมที่ชาวบ้าน และนักเรียนสร้างมาในทางที่ไม่ดี จึงทำให้มาเจอคนประเภทนี้มาบรรจุที่โรงเรียนชุมชนของเด็ก
แย่มาก คือ ครูผู้คุมเรือนจำ
พวกนี้ชอบเห็นเด็กเป็นเทวดา ต้องไม่ทำความผิดอะไรเลย
ถ้าผิดหรือพลาดขึ้นมา จะถือเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดคอขาดบาดตายได้
จึงดีแต่คอยบ่น คอยด่า คอยเข้มงวด กวดขัน คอยจับผิดไม่วางตา
(แต่พวกที่เรียกตัวเองว่า “ครู” ก็แอบทำความชั่วร้ายไม่ใช่น้อยทีเดียว)
ปานกลาง คือ ครูอ่านหนังสือ พวกนี้ชอบอธิบายความรู้ตามหนังสือเรียน
บางทีก็ไม่จำเป็น แต่ก็ยังเห็นส่วนมากทำกันเป็นกิจวัตรประจำวัน
(พวกนี้ไม่ยอมเข้าใจ และรับรู้ว่าหนังสือแบบเรียน
คือ สื่อ ไม่ใช่หลักสูตร) ผมถือว่าพวกนี้เสมือนหนึ่ง
รุ่นพี่สอนรุ่นน้องเท่านั้น
(บางทีรุ่นพี่ยังอธิบายดีกว่าผู้ที่เรียกตัวเองว่าครูก็มีไม่ใช่น้อย)
ดีพอใช้ คือ ครูผู้สอน
พวกนี้ชอบอธิบายแนะนำให้เห็นชัดเจน
มีการยกตัวอย่างประกอบ หรือทำให้ดูเป็นตัวอย่าง และคอยเคี่ยวเข็ญให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดหรือกิจกรรมอย่างจริงจัง
จนกว่านักเรียนจะรู้จริงหรือทำได้
ดีมาก คือ ครูผู้ฝึก พวกนี้มักคิดว่าการสอนที่ดีต้องให้นักเรียนได้ลงมือฝึกฝนปฏิบัติตามหลักการ
และขั้นตอนของการเรียนรู้ในเรื่องนั้นๆ มีเทคนิควิธีการสอนที่สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์
(จิตวิทยา) ผมยกย่องครูเหล่านี้
และผมใฝ่ฝันอยากเห็นผู้ที่รับอาสามาฝึกคนมีทัศนคติและการกระทำอย่างนี้
แต่...หายาก
ดีที่สุด คือ ครูผู้จัดการเรียนรู้ ครูพวกนี้มักมีบทบาท ๒ อย่าง คือ ๑. มักสั่งให้นักเรียนทำกิจกรรมโดยมีเงื่อนไขและเป้าหมายผลลัพธ์ที่ชัดเจน ๒. จะประเมินผลจากผลลัพธ์ กระบวนการทำกิจกรรม และการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นระหว่างทำกิจกรรมหรือจบกิจกรรม โดยการซักไซ้ไล่เรียงการทำกิจกรรมทุกขั้นตอน ถ้านักเรียนทำไม่ได้หรือตอบไม่ได้ ก็จะให้นักเรียนไปทำใหม่จนกว่าจะทำได้ แต่.....ครูพวกนี้ต้องแอบใฝ่รู้
ใฝ่หาสื่อ กิจกรรม ทุน (บางครั้งต้องควักกระเป๋าตัวเอง) มาให้นักเรียนได้ลงมือทำ เพราะจะหาผู้บริหารโรงเรียน หรือปู้บริหารระดับจังหวัดมาสนับสนุนนั้นเป็นเรื่องยากมาก โดยเฉพาะประเทศไทยคงต้องงมเข็มในมหาสมุทร
(ส่วนสหรัฐอเมริกามีแล้วมากมาย แต่ที่ดังมาก คือ ครูเรฟ
ผู้ที่สนใจลองหาหนังสือ "ครูนอกกรอบ ห้องเรียนนอกแบบ" มีการแปลและจัดพิมพ์เผยแพร่โดย
สสค.)
ผมหวังว่า
ครูผู้จัดการเรียนรู้คงงอกเงยผลิดอกออกใบบ้างในสังคมไทย
และผมหวังว่าเมื่อมีครูผู้จัดการเรียนรู้เกิดขึ้น
สังคมไทยจะเป็นสังคมที่ใช้เหตุผล จากหลักการ
แนวคิดตามหลักสัจธรรมของธรรมชาติมาใช้ในการดำเนินชีวิต
ไม่ใช่ใช้แต่เหตุผลจากความรู้สึก อารมณ์ชอบไม่ชอบของตัวเอง
ดังเช่นคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยยุคปัจจุบันเป็นอยู่ ที่อยู่ดีๆ ก็แบ่งชนชั้น ดูถูกประชาชน
๒ มาตรฐาน พวกตัวเองทำผิดสารพัดผิดไม่เป็นไร
ถ้าอีกพวกหนึ่งทำเหมือนกันบ้าง ต้องผิด ต้องเลว ต้องฆ่าฟันให้ตายเสียให้หมด
เฮ้อ! สงสารสังคมไทย ที่บรรพบุรุษอุตส่าห์ใช้พระพุทธศาสนากล่อมเกลาจิตใจคนในชาติ
จนกลายเป็นคนที่มีจิตใจ ไม่เห็นแก่ตัว
ยอมรับความจริง ไม่หลงตัวตน มีเมตตากรุณารักคนทั้งโลก จึงทำให้ชาติไทย คนไทยในอดีตโดดเด่นเรื่อง จิตใจ ซึ่งปรากฏบนใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้ม จริงใจไม่เสแสร้ง เห็นคนทุกชาติในโลกเป็นคนเสมอ แต่ปัจจุบันกลายเป็นสังคมที่มีแต่ความเกลียดชัง
โกรธแค้น ผูกอาฆาตมาดร้าย เหลวไหล เห็นบางชาติ บางคนเป็นเทวดา และมีแต่การกล่อมเกลาความคิดให้คนในชาติอยากได้แต่คนดีมาปกครองประเทศ
เรียกร้องใฝ่หาอยากได้คนดีมาเป็นพ่อ แม่
พี่น้อง ครู เพื่อน คู่ครอง
ยกเว้นตัวเองไม่ต้องเป็นคนดี เพราะคนอื่นต้องดีต่อฉัน
(พวกดีแต่วิ่งหารักแท้ เพราะเข้าใจว่า
“รักแท้” คือคนที่มารักตนเอง
ต้องตามใจตนเอง ไม่ขัดใจตนเอง
ก็ลองดูเด็กทุกวันนี้ พอขัดใจหน่อย
ดุ ตำหนินิดหน่อย แกบอกว่าพ่อแม่ไม่รักแกแล้ว)
ในทัศนะผม เห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่ และสังคมไทยต้องได้รับการเรียนรู้ที่เจ็บปวดอีกนาน เพราะคนไทยสังคมไทยยังยึดติดกับเรื่องคนดี
๓ เรื่อง ด้วยกัน
เรื่องที่ ๑ การแสวงหาคนดีสมบูรณ์แบบ
ที่ไม่มีทางเป็นไปได้ในโลกความจริง
เรื่องที่ ๒ อยากให้คนดีคนนั้นเป็นคนดีตลอดไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เรื่องที่ ๓ อยากให้ทุกคนเป็นดี
โดยใช้กลยุทธ์ วิธีการแบบง่ายๆ เช่น สอน
ว่า ชี้แนะ บ่นก็พอ ถ้าไม่มีใครเปลี่ยนก้กล่าวหาว่าคนๆนั้น
ไม่มีจิตสำนึกที่ดี (แบบเดียวกับที่พวกครูทำกันหน้าเสาธงทุกวันนี่แหละ)
ไม่ต้องไปฝึกฝนควบคุมจิตใจ หรือมีกระบวนการพัฒนาให้วุ่นวาย
อย่างนี้แล้วสังคมไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะมีมิจฉาทิฏฐิเรื่องคนเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด นี่ยังดีว่า สังคมไทยยังมีหลวงปูหลวงพ่อสายปฏิบัติออกมาอบรมสั่งสอนชี้แนะทางที่ถูก
ให้ละคลายอัตตาลงบ้าง
ปัญหาเมืองไทยจึงไม่มากและยาวนานเหมือนบางประเทศ