วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อย่า "ฝันเฟื่อง" สร้างสรรค์สังคม ให้ทุกคนเป็น "คนดี"


มีหลายท่าน หลายคน ต่างมีจิตใจที่ปรารถนาดี อยากให้สังคมนี้สงบสุข รุ่งเรือง และมีแต่ "คนดี"

เมื่อก่อนสมัยที่ผมอายุยังน้อย ทำงานเป็น "ครูผู้สอน" ใหม่ๆผมก็คิดเช่นนั้น และลงมือแก้ไขพัฒนาเด็กอย่าง "ทุ่มเท"ผลที่ได้ คือ "น้อยนิด"

ตอนแรกก็น้อยใจ โทษระบบสังคมไม่ดี นักการเมืองไม่ดี กฏหมายไม่เข้มแข็ง ข้าราชการไม่เอาจริงรวมทั้งคนในสังคม "ไม่ค่อยมีคนดี" ทุกคน "มีจิตสำนึก" ที่ดีน้อย

แต่....ผมโชคดีที่ได้เรียนรู้หลักการ แนวคิดทางพุทธศาสนา "อย่างจริงจัง" มาตั้งแต่วัยเด็ก  และต่อมาเมื่อมีประสบการณ์การทำงาน และชีวิตมากขึ้น   จนกลายเป็น "ครูผู้ฝึก" 

ผมจึงเข้าใจได้อย่าง "แจ่มแจ้ง" ว่า "ไม่มีทางทำได้"

เพราะ.....

1. คนทุกคน "เหมือนกัน" แต่...ไม่เท่ากัน
2. คนเราแปรเปลี่ยนเสมอ แม้ในวันหนึ่งๆ ก็ทำทั้ง "สุจริต" และ "ทุจริต" หรือ "กุศล" และ "อกุศล" เสมอ ไม่มีใครคงที่ตลอดไป
3. ดี-ชั่ว, ถูก-ผิด, ควร-ไม่ควร, ฯลฯ เป็นเรื่อง "สมมติ" ของสังคมหนึ่งๆ ของจริงชีวิตมนุษย์ มีแค่ "ทุกข์กับสุข" เท่านั้น
4. "คน" ย่อมทำผิดได้ พลาดได้ พลั้งได้ เผลอได้ ทุกคน

เมื่อผม "เข้าใจ" แล้ว ผมก็ยอมรับว่า สังคมอย่างไรๆ ก็ "แตกต่างกัน"ไม่มีทางทำให้สังคมของคน "มีแต่คนดี" หรือ ทำให้ทุกคน "เสมอกัน" ได้

แม้...คนใน "วงการศึกษา" หรือ "วงการพระภิกษุ" ที่ผมเคยอยู่ด้วย ทำงานด้วย  ก็เป็น "คน" ที่สังคมเชื่อว่าเป็นปัญญาชน มีจิตใจที่ดีกว่าใคร  ก็ยังมีทั้ง "คนขี้เกียจ" , "คนเอาเปรียบ" , "คนขี้โกง" "คนเหลวไหล" , "คนบ้ากาม" ,คนขยัน" , "คนเป็นครู" , "พระทุศีล"  ฯลฯ

ทั้งๆที่คนในวงการศึกษา วงการพระ สังคมมอบให้มีหน้าที่ "สอน" และ "ฝึก" ผู้เยาว์ ให้เจริญเติบโตทั้งสติปัญญา และจิตใจด้วย "ความเมตตา" และ "ให้โอกาส" เด็กแก้ไขพัฒนาตนเองเขาเหล่านั้น ก็ยังทำหน้าที่นี้ไม่ได้เต็มที่เลย แถมบางคนยัง "ทำลาย" อนาคตของผู้เยาว์อีก.

แล้วนับประสาอะไรกับ "สังคม" ที่ใหญ่เป็น "ประเทศ"จะไม่มีคนประเภทต่าง ๆ เหล่านั้นได้

ขอเพียงแต่ว่า...... 

สังคมที่ดี คือ คนในสังคมนั้นต่าง"ใจกว้าง" และ "อดทน" เห็น "คนเป็นคน" "ให้โอกาส" ทุกคนพัฒนาปรับปรุงตัวเองได้ไม่ดูถูกเหยียดหยาม กดขี่ชนชั้นวรรณะ


รวมทั้งเพียงแค่ "ผู้นำ" ในสังคมทำตนเป็นแบบอย่างที่ดี  มีจิตใจเสียสละ หรือถือศีลห้าก้ได้



แล้วทุกคนต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เต็มที่ที่สุด
ทำทุกอย่างด้วย "ใจรัก" และมี "น้ำใจ" รวมทั้ง "เห็นใจ" ต่อกัน

ไม่ "ฝันเฟื่อง" ถึงสังคม แบบ "ยูโทเปีย" หรือ "พระศรีอาริย์" เลย

เท่านี้ก็เป็นการ "พอเพียง" แล้วครับ

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ความในใจที่ “เสียดาย และเสียใจ” ๓

ตั้งแต่ผมเป็นเด็ก  จนกระทั่งโตขึ้นมา  จนเป็นครูปีแรก  ผมก็เชื่ออย่างที่คนส่วนมากสอนให้เชื่อ   คือ “มุ่งเป็นคนดี”  พยายามเป็นลูกที่ดี  เป็นศิษย์ที่ดี  เป็นพี่ที่ดี  เป็นน้องที่ดี  เป็นสามเณรที่ดี  พระที่ดี และสุดท้ายเป็นครูดี   

แต่หลังจากที่ผมเป็นครูไปได้  ๑  ภาคเรียนการศึกษา  และจากแนวคิดอิทธิพลของหนังสือ “ชีวิต :เสรีภาพ : ปรัชญาการศึกษาแบบซัมเมอร์ฮิล”  ของ เอ เอส นีล  รวมทั้งแนวคิดที่ได้รับจากแนวจิตวิทยาการศึกษาของ สกินเนอร์    ทำให้ผมเปลี่ยนแนวความคิดการจัดการเรียนการสอนเป็นการสอนการเรียนตามธรรมชาติ  และศักยภาพการเรียนรู้ของนักเรียน    ส่วนการพัฒนานิสัยจิตใจเด็ก ผมไม่มุ่งให้นักเรียนเป็นคนดี  และผมก็ไม่เคยคิดจะเป็นครูดีอีก   นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน     

แต่...ผมมุ่งให้เด็ก  หรือคนที่ยอมให้ผมแนะนำ  ฝึกฝน  อบรมให้   เป็นคน “ที่รู้จักกาลเทศะบุคคล”  และผมจะพัฒนาทักษะคนเหล่านั้นให้เป็นไปตาม “เป้าหมาย” ที่เขาตัดสินใจเลือก   ไม่สอนหรือบังคับคนเหล่านั้นให้เป็นไปตามที่ผมคาดหวังอีก    แต่เมื่อนักเรียนตัดสินใจเลือกแล้ว  ผมจะเคี่ยวเข็ญเอาจริงทุกวัน  จนกว่าจะถึงวันสอบไล่ปลายภาคเรียนที่เป็นอันสิ้นสุดภารกิจที่ผมรับผิดชอบ   ผมถึงจะเลิกเคี่ยวเข็ญ  

และเมื่อสิ้นสุดภาคเรียน  หรือปีการศึกษา  ผมจะหาทางไปเที่ยวทั่วประเทศ  เพื่อตัดใจลืม  ไม่อาลัยอาวรณ์ว่านั่นก็ยังไม่ได้ทำ   นี่ก็ยังไม่ได้ทำ   ผมถือว่าผมทำเต็มที่อย่างจริงจัง   จะได้ผลเท่าไหร่ก็ช่าง     แต่สมัยเป็นนักศึกษา  และเป็นครูใหม่ๆ   ตอนนั้นคาดหวังไว้สูง  ประเภท  หวัง 100 %   ทำ ๑๐๐ %  อยากได้ 150  ทำนองนั้นและครับ   เป็นครูหลายปีจึงเข้าใจความจริง  และทำใจได้ในที่สุด  

และหลายปีต่อมา  ผมจึงนึกขึ้นได้ว่า  สิ่งที่ผมทำ   ก็คือ  สัปปุริสธรรม ๗  ของพระพุทธองค์  ที่ผมเรียนนวโกวาทมาสมัยเป็นเณรปีแรกนั่นเอง   (ใกล้ตัวกินด่างนะเรานี่)    เพราะสัปปุริสธรรม  ท่านแปลว่า  ธรรมที่ทำให้เป็นสัตบุรุษ  หรือ คุณสมบัติของคนดี, ธรรมของคนดี   มี ๗ ประการ คือ  ธัมมัญญุตา-รู้จักเหตุ,  อัตถัญญุตา – รู้จักผล, อัตตัญญุตา-  รู้จักตน, มัตตัญญุตา-รู้จักประมาณ, กาลัญญุตา-รู้จักกาล, ปริสัญญุตา-รู้จักชุมชนหรือประชุมชน, และปุคคลัญญุตา-รู้จักบุคคล   ถ้าทุกคนทำตามนี้ก็ชื่อว่า “เป็นคนดี” โดยอัตโนมัติ    ตอนหลังผมจะทำวิทยานิพนธ์ในระดับปริญญาโท  ผมก็เลยเลือกเรื่องนี้เป็นหัวข้อ  เพราะผมแทบจะเข้าใจ  สามารถโยงไปได้ทุกเรื่องในชีวิตจริง

เพราะถ้าทุกคนมีหลัก มีแนวคิดจุดยืน  มีเหตุผล  และรู้จักกาลเทศะบุคคล(จะเรียกสมานัตตาก็ได้)   ก็แทบจะไม่มีปัญหาในการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกับคนในสังคมเป็นแน่   และถ้ายิ่งมีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน  รวมทั้งพยายามพัฒนาคุณลักษณะตัวเองให้เป็นไปตามเป้าหมายนั้น   ชีวิตของผู้นั้นก็ย่อมเจริญรุ่งเรือง  ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน   (แต่จะยั่งยืนยาวแค่ไหน  ก็ขึ้นอยู่กับเวรกรรมเก่าที่จะมาตัดรอนหรือไม่) 

และเมื่อผมทดลองทำมา   ทั้งตัวผมและนักเรียนที่ถูกฝึกอย่างจริงจัง   ก็ประสบความสำเร็จด้วยดี  มีชีวิตที่มั่นคงอย่างมีความสุขด้วยกันเกือบทุกคน 

แต่....การตั้งใจมุ่งมั่นเป็น "คนดี"   อยากเจอแต่คนดี     อยากให้ทุกคนเป็นคนดี    กลับทำให้ชีวิตมีแต่ความเครียด เก็บกด  อยู่แต่ในโลกความฝัน    ไม่ยอมรับความจริงที่อยู่ข้างหน้าว่า  "คน ก็คือ คน"  ที่สามารถทำผิดได้    พลาดได้    พลั้งได้    เผลอได้    แม้ว่าตั้งใจจะไม่ให้เกิดเลยก็ตาม 

ถามทุกคน หรือเพื่อนสนิทลับหลังว่าเป็นอย่างนั้นไหม   หรือถามตัวเองก็ได้ว่า  ในชีวิตเคยทำผิด  ทำพลาด  ในสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ(ถ้าเปิดเผย) หรือเปล่า   อย่างพวกดารา  หรือคนมีชื่อเสียงส่วนมาก  เบื้องหลังสกปรกโสมมยิ่งกว่าชาวบ้านธรรมดาเสียอีก

เช่นเดียวกับสังคม  และประเทศชาติ   ถ้าสังคมใดทำให้คนในสังคมนั้นเลือกรูปแบบการปกครองที่เชื่อกันว่าเหมาะกับคนในสังคมนั้นด้วยความสมัครใจ   แล้วทำให้เข้าใจหลัก  แนวคิดจุดยืน  เหตุผล  และยอมรับกติกาที่ร่วมกันสร้างขึ้น  โดยไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย   ก็แทบกล่าวได้ว่าสังคมนั้นจะไม่มีปัญหาในการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกับคนในสังคมเป็นแน่    

แต่ที่สังคมไทยมีปัญหาในตอนนี้    ก็เพราะเราเปลี่ยนรัฐธรรมนูญมาแล้วเกือบจะ ๒๐ ครั้งแล้ว  ยังไม่นิ่งสักที  และที่คิดกฎหมายขึ้นมา   ก็มีผู้ที่คิดว่าตนเองดีกว่า  เก่งกว่า  มากำหนดให้ทุกครั้งไป   โอกาสที่คนในสังคมจะช่วยกันร่างขึ้นมาแทบจะไม่มีเลย    นี่ก็คิดจะเปลี่ยนกติกาอันอีกแล้ว    ก็ถ้าตัวเองเก่งกว่า  ดีกว่าประชาชนทั่วไป   ทำไมไม่ทำให้เสียเสร็จสิ้นไปเล่า  พอไม่เป็นไปตามที่หวังไว้  ก็พาลพะโล  ยกเลิก  ฉีกทิ้ง  เขียนใหม่อยู่นั่นแหละ   ถ้าไม่อยากให้ชาวบ้านธรรมดามีโอกาสบริหารประเทศ    แน่จริงก็เขียนห้ามไปเลย   ให้เฉพาะพวกกูที่เป็นได้   แต่ก็ต้องปราบประชาชนให้อยู่ให้ได้นะ   จะฉีกทิ้ง  จะเขียนใหม่  ก็อ้างเรื่องคนดี  คนชั่ว  คนโกง   เห็นปฏิวัติทีไรก็อ้างอย่างนี้ทุกที   ทำแล้ว  ก็ไม่เห็นว่าจะดีขึ้นจริงๆ สักที   นี่ก็เพิ่งปฏิวัติ  เขียนกติกาใหม่มายังไม่ถึงสิบปี  จะเอาอีกแล้วหรือ     

ถามจริงๆ  ยังไม่ได้ “สติ” กันอีกหรือครับ,   ไอ้พวกใจ “อวิชชา” มืดบอด   บอดตัวเองไม่พอ ยังทำให้สังคมมืดบอดไปด้วย     

ตกลงสักทีได้ไหม   ว่าเมืองไทยจะเอาระบอบการปกครองแบบไหนกันแน่ ?   คนในสังคมจะได้ไม่วุ่นวาย   สร้างความเกลียดชังแก่กันและกัน

ที่จริงสังคมที่จะเลือกระบอบประชาธิปไตยมาใช้เป็นรูปในการปกครองจนมีประสิทธิภาพได้นั้น   คนในสังคมนั้นต้องมีคุณลักษณะกล้าหาญ   เชื่อมั่นตนเอง   พึ่งพาตนเอง  ชอบทำงาน  ไม่เชื่อเรื่องโชคชะตาสิ่งศักดิ์   และที่สำคัญที่สุด  คือ  ไม่ยอมให้ใครมาละเมิด สิทธิ เสรีภาพของตัวเอง   และตัวเองก็ไม่ไปละเมิดสิทธิ  เสรีภาพคนอื่นเช่นกัน   เป็นสุภาพชนที่รู้จักให้เกียรติผู้อื่น    และเกียรติตนเอง

จากคุณลักษณะของไทยที่ผ่านมา   จริงๆแล้วระบอบประชาธิปไตยก็ยังไม่เหมาะกับคนในสังคมไทยเท่าไหร่   เพราะคนไทยถูกสอนให้เคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่กว่า   สอนให้อ่อนน้อมถ่อมตน  จึงกลายเป็นคนอดทน  หรือไม่ก็เก็บกดไปเลย   ดูเหมือนจะขี้เกรงใจ  แต่จริงๆไม่ใช่   คนไทยส่วนมากกลัวคนมีอำนาจ  แต่กลับชอบข่มเหงคนอ่อนแอ  ถ้ายิ่งเจอคนไม่สู้ยิ่งข่มเหงมากขึ้น  และเป็นประเภทดีต่อหน้า  แต่ลับหลัง บ่น โวยวาย ด่าสารพัด  ดีแต่พูดวิจารณ์  ทำไม่เป็น 

ที่จริงทั่วโลก  ทุกประเทศก็คล้ายกัน  คือ  มักมีพวกที่คิดว่าตัวเองกว่า  ดีกว่า   อยากเป็นคนชี้นำคนอื่น  สั่งคนอื่น  อยากมีอำนาจควบคุมคนอื่นให้ทำตามที่ตนเองคิดหรือเชื่อ   และเมื่อทำได้แล้วก็มักหลงตนเอง   บ้าอำนาจ  มัวเมาอำนาจ  คำสรรเสริญเยินยอ  บ้าสมบัติผลประโยชน์  อยากได้แต่เพียงผู้เดียว  ทุกคนต้องทำเพื่อฉัน แบละครอบครัวฉัน   ซึ่งนานๆเข้าก็มักกดขี่ข่มเหงมากขึ้น  และพวกลูกน้องผู้นำ  ก็มักผสมโรงรีดนาทาเร้น  เหยียดหยามประชาชนทั่วไปว่าเป็นพวกชั้นสอง   ใครทำมาหากินได้  ต้องมาแบ่งให้พวกตัวเอง

แต่เนื่องจากระบอบประชาธิปไตย  เป็นระบอบที่เลวน้อยที่สุด  ฆ่ากันตายน้อยที่สุด   เพราะเป็นระบอบที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้ดีที่สุด  เท่าที่คนคนนั้นเลือก  ชาวโลกทั่วไปจึงใฝ่ฝันอยากมีสังคมแบบนั้นบ้าง   แต่พวกผู้มีอำนาจอยู่ในขณะนั้นก็จะสกัดกั้นทุกวิถีทางไม่ให้คนในประเทศของกู  สังคมของฉัน  มีอิสรเสรี   มีบทบาท  มีอำนาจบ้าง

ผมจึง “เสียดาย  และเสียใจ” ที่บ้านเมืองไทยในขณะนี้  ก็กำลังมีสภาพเช่นนั้น   ถ้าชนชั้นนำ และพวกพ้องยังหวงอำนาจ  โลภอยากได้ผลประโยชน์    รับรองว่าวันหนึ่งสังคมไทย  ต้องลุกมาฆ่ากันเอง   เหมือนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา  แต่ถ้าผู้นำมีจิตใจรักประชาชนจริง  เชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ว่าสามารถพัฒนาตนเองได้   เหมือนประธานาธิบดียอร์ช วอชิงตัน  ที่ไม่ยอมสถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์    ประเทศสหรัฐอเมริกาจึงเป็นประเทศแรกที่ให้เสรีภาพแก่มนุษย์เลือกทางเดินของตัว


ผมฝันอยากเห็นสังคมไทย  มีผู้นำแบบท่านยอร์ช  วอชิงตันจัง,      แต่คงยากเพราะชนชั้นนำของสังคมไทยตอนนี้  เหมือนพวกซูสีไทเฮาเป๊ะเลย,    ที่ยิ่งกว่า  คือ สามารถควบคุมโฆษณาหลอกคนทั้งสังคมไทยว่าตัวเองและพวกตัวเองเป็นคนดี  มีคุณธรรมสูงส่ง   แต่ขอโทษเถอะ   แม้กระทั่งศีล 5 ยังรักษาไม่ได้เลย,    ชอบแนะให้คนไทยเจียมตัว  อย่าอยากรวย  อย่าใช้ของฟุ่มเฟือยเกินฐานะ   อย่าเป็นทุนนิยมสามานย์   แต่ชนชั้นนำกลับลงทุนทำธุรกิจทั้งในประเทศ และทั่วโลก  มีสมบัติมากมาย  สามารถไปสร้างสวนสนุกที่ประเทศต่างๆ ได้หลายแห่ง     ขนาดฝรั่งยังบอกว่ารวยมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของผู้นำโลกเลย  ไม่น่าเชื่อจริงๆ.

ความในใจที่ “เสียดาย และเสียใจ” ๑

หลายปีที่ผ่านมา ผมได้ทบทวนตัวเองหลายครั้งหลายหน ทำให้เกิดความตระหนัก และได้ข้อสรุปการเรียนรู้ว่า ผมคงไม่สามารถเป็น ครูที่ดีได้เท่าไหร่ เพราะผมเป็นครู ที่ตั้งใจ ฝึกมากกว่า สอนและผมเองก็ได้ทำอะไรๆหลายอย่างเกี่ยวกับการพัฒนาการศึกษา การปฏิรูปการเรียนการสอน โดยเฉพาะเน้นการคิดวิเคราะห์มาตลอดในโรงเรียนต่างๆอย่างตั้งใจและทุ่มเท มากว่า ๓๐ ปี

แต่...จากคนที่ผมเคยสอน เคยเป็นครูของพวกเขา และมาเป็นเพื่อนผมในเฟสบุ๊ค (แม้แต่แฟนเก่า 555) เห็นที่ผมโพสต์และแชร์ กลับคิดและเข้าใจว่าผมเป็นพวกเสื้อแดง ทำไมไปหลงเชื่อระบอบทักษิณ   ทั้งๆที่ผมบอกตลอดว่า ถ้าคุณเลือกประชาธิปไตย คุณก็ต้องหัดยอมรับกติกา หลักการประชาธิปไตยสิ จะไปเอาหลักการอื่นมาใช้กับระบอบประชาธิปไตยไม่ได้ และผมก็พยายามย้ำในสิ่งที่ผมแชร์ว่า นี่เป็นข่าว ข้อมูล ข้อเท็จจริง และเหตุการณ์อีกด้าน

สุดท้ายก็สูญเปล่า เพราะเขาก็ยังเลือกที่จะรับรู้ข้อมูลฝ่ายเดียวอยู่นั่นเอง

ผมจึงสรุปบทเรียนการเป็นครูของผมว่า สูญเปล่าเขาไม่ตระหนักและจำสิ่งที่ผมเคย ฝึกพวกเขา   ผมฝึกให้พวกเขาทำแบบทดสอบแบบวิเคราะห์  ๕ ครั้ง บางปีเป็นกิจกรรมพัฒนาทักษะชีวิต  ๘ อย่าง ผมไม่ได้หวังว่าเขาจะต้องรู้ จะต้องเข้าใจในสิ่งที่ผมสอน   ในตอนนี้ผมเพียงแต่อยากให้เขายังพอจำได้ว่า  ในอดีตผมเคย “ฝึก” พวกเขาแบบไหนเท่านั้นเอง

น่า เสียดาย และ เสียใจวันเวลาที่ผ่านไป

ทุกครั้งที่ผมสอนนักเรียนที่ผมได้รับผิดชอบทุกปีการศึกษา และทุกโรงเรียนที่เคยไปสอน ไม่ว่าจะเป็นวิชาพระพุทธศาสนา(หลักสูตร 2527-2551) วิชาศีลธรรม(หลักสูตร 2518 และ ๒๕๒๑) หรือวิชาต่างๆในกลุ่มภาษาไทยบ้าง ในกลุ่มสังคมศึกษาบ้าง แม้การสอนวิชาปรัชญา วิชาการศึกษา วิชาจิตวิทยา วิชามานุษยวิทยาในระดับอุดมศึกษาทุกแห่ง ผมก็จะสอนแบบคิดวิเคราะห์ ฝึกให้ค้นคว้าหาเหตุผลมาตอบ เช่น

เชื่อไหมว่าพระพุทธเจ้าประสูติแล้วเดินได้ ๗ ก้าว,
ทำไมพระพุทธเจ้าทรงผนวชต้องปลงพระเกศาจนหัวโล้นด้วย,
ทำไมพระพุทธเจ้าประสูติแล้วพระมารดาทิวงคตภายใน ๗ วัน,
ทำไมศาสนาอิสลามจึงห้ามทานเนื้อหมู, ทำไมผู้ชายต้องโพกผ้า ผู้หญิงต้องคลุมหน้าตลอดเวลา,
ทำไมคนภาคเหนือ ภาคอีสานจึงชอบกินข้าวเหนียว,
ทำไมคนภาคเหนือ ภาคอีสานกินข้าวเหนียวเหมือนกัน แต่คนอีสานจมูกบานกว่า,
รู้ได้อย่างไรว่าในสมัยสุโขทัยปกครองแบบพ่อปกครองลูก
ทำไมคนสมัยก่อนใช้เบี้ยแทนเงินตรา
ทำไมพม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาแตก แต่ทำไมคนไทยยกทัพไปตีพม่าไม่แตก
ทำไมภาษาไทย จึงมีตัวอักษรและเสียงไม่เหมือนกับภาษาอื่นๆ
ทำไมคนไทยจึงเป็นคนยิ้มง่าย ชอบพูดว่า ไม่เป็นไรหรือ ถามว่ากำลังทำอะไร คิดอะไรอยู่ ก็มักจะตอบว่า เปล่าก่อนทุกที
                                                       ฯลฯ

หลายคนที่เคยเรียนกับผม คงพอจำได้ว่า วิชาผมมีแต่ทำไม ? เพราะอะไร ? มากมายทุกวัน และตอบไปเท่าไหร่ก็ไม่ถูก ขนาดลอกคนที่ผ่านไปแล้ว ก็ยังผิดอยู่เรื่อยไป จนคงนึกด่าและวิจารณ์ว่าผม เพี้ยนแน่ๆ หรือไม่ก็ตรวจเอาแต่ใจตนเอง หรือให้ผ่านเฉพาะคนสวย หรือคนที่ถูกใจละมั้ง(ฮา)

 เช่น คำถามที่ว่า เชื่อไหมว่าพระพุทธเจ้าประสูติแล้วเดินได้ ๗ ก้าวขนาดตอบว่าเชื่อก็ไม่ผ่าน ตอบว่าไม่เชื่อก็ไม่ผ่าน เขียนอธิบายอย่างไรก็ไม่ผ่าน ถามเพื่อนๆ ที่ผ่านก็ยิ่งงงใหญ่ เพราะอีกคนตอบว่าเชื่อก็ผ่าน ตอบว่าไม่เชื่อก็ผ่าน แล้วทำไมของตัวเองไม่ผ่าน ชักโมโหขึ้นทุกวัน จนวันหนึ่งผมอธิบายถึงวิธีการตอบจึงหายงงไปบ้าง

ผมอธิบายว่า***"...ตอบอย่างไรก็ได้ไม่สำคัญ, แต่ที่สำคัญที่สุด คือ คำตอบนั้นใช้หลักการ, เหตุผลอะไรมาตอบ...."*** เช่น ตอบว่า เชื่อว่าพระพุทธเจ้าประสูติแล้วเดินได้ ๗ ก้าว เพราะท่านเป็นคนมีบุญวาสนา ตอบอย่างนี้ผมก็ไม่ให้ผ่าน เพราะก็ต้องมาอธิบายกันอีกว่า แล้วรู้ได้อย่างไร ท่านเป็นคนมีบุญ, บางคนตอบว่าไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าประสูติแล้วเดินได้ ๗ ก้าว เพราะไม่มีเด็กที่ไหนเกิดมาเดินได้ ตอบอย่างนี้ผมก็ไม่ให้ผ่าน เพราะมีบันทึกความมหัศจรรย์ถึงเด็กที่เกิดมาแล้วมีปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่ยังหาคำตอบไม่ได้ เช่น เกิดมาแล้วร้องเป็นเพลงได้ทันที, บางคนก็พูดเรียกพ่อ เรียกแม่ได้, ลองหาอ่านตามหนังสือต่วยตูนก็ได้ หรือจะเข้าไปค้นหาใน "กูเกิล" ก็ได้ อย่าพูดแต่เพียงว่าไม่เชื่อ แต่ให้ค้นหาก็ไม่ค้นหาเลยนะครับ

ไม่มีคำตอบไหน "ถูก หรือ ผิด"  มีแต่  "มีหลักและเหตุผล"  เพียงพอหรือไม่

แต่การที่ผมให้นักเรียนหลายคนผ่าน ก็เพราะบางคนตอบเข้าท่ามีเหตุผลบ้าง แม้จะยังให้เหตุผลไม่เป็นไปตามหลักการครบถ้วน หรือเป็นวิทยาศาสตร์ก็ตาม เช่น ตอบว่าไม่เชื่อ เพราะเด็กเกิดมากระดูกยังไม่แข็งแรงที่จะยืนได้ แม้ว่าจะไม่ยกหลักสรีระ หรือชีววิทยามาตอบ ผมก็ให้ผ่าน, แต่เวลาไปอธิบายให้เพื่อนฟัง ก็มักจะอธิบายไม่ชัดเจน เพื่อนๆแม้จะพยายามลอกตามก็ให้เหตุผลที่ดีไม่ได้อยู่ดี เพราะเขายังไม่เข้าใจหลักการตอบนั่นเอง

อย่างคำถามที่ว่า "ที่คนภาคเหนือ ภาคอีสานชอบกินข้าวเหนียว" ไม่ใช่เพราะวัฒนธรรมประเพณี กินอิ่มทนอะไรหรอกครับ เป็นเพราะสภาพดินภาคเหนือภาคอีสานมีสภาพดินร่วนปนทราย ปลูกได้ดีแต่ข้าวเหนียว จึงทำให้คนภาคนั้นบริโภคข้าวชนิดนี้มาตลอดจนกลายเป็นสภาพแวดล้อมที่เคยชิน

คำถามอื่นๆ ลองหาเหตุผลดูสิครับ สนุกดี แต่บอกใบ้ให้นะครับ ส่วนมากคำตอบมักเกี่ยวข้องกับภูมิศาสตร์ สิ่งแวดล้อมทั้งนั้น ไม่ใช่ความลึกลับ ความศักดิ์สิทธิ์ หรือปาฎิหาริย์อะไรหรอกครับ

คราวหน้าจะชวนคุยเรื่อง "การเมือง" แบบประชาธิปไตย ทำไมจึงเจริญช้าในเมืองไทย คำตอบอาจจะเป็นเพราะว่า คล้ายกับ QC ที่ "เกิดเมืองฝรั่ง โตที่ญึ่ปุ่น แล้วมาตายสนิทที่เมืองไทย" ก็ได้


หรืออาจจะเป็นเหมือนกับที่มี (เรื่องเล่า) มาว่า ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ถามท่านประธานเหมาว่า "เมืองไทยจะเป็นคอมมิวนิสต์ไหม" ท่านประธานเหมา ตอบว่า " เมืองไทยไม่มีวันเป็นคอมมิวนิสต์หรอก เพราะถ้าเมืองไทยเป็นคอมมิวนิสต์เมื่อไหร่ ระบอบคอมมิวนิสต์จะ "ฉิบหาย" ล่มสลายหมด" (ฮา)

ความในใจที่ “เสียดาย และเสียใจ” ๒

ราวๆ ต้นปี พ.ศ. ๒๕๔๕  ไปธุระที่ลพบุรี  เจอลูกศิษย์ที่เป็นทหาร ยศนายพัน  เขาชวนคุยการเมืองหลายเรื่อง  มีเรื่องหนึ่งที่พูดว่า  อาจารย์รู้ไหมว่า พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ไม่ชอบนายกทักษิณ   ก็นึกในใจว่าแปลกดี ที่นายกทักษิณเพิ่งเป็นได้ปีเดียว  ถึงกับมีศัตรูแล้ว 

ต่อจากนั้นมาก็ได้ยินเสียงวิจารณ์นายกทักษิณมากขึ้น  โดยเฉพาะจะมาจากพวกนักวิชาการ และสื่อมวลชน  ว่าเป็นคนปากไว  ใจร้อน  พัฒนาบ้านเมืองเร็วเกินไปจะทำให้สังคมเสื่อมทราม จะกลายเป็นประเภททุนนิยมสามานย์   และโครงการต่างๆของนายกทักษิณจะทำให้คนชนบทขี้เกียจ  ฟุ่มเฟือยมากขึ้น  ไม่รู้จักใช้ชีวิตอย่างเพียงพอ 

พอประมาณปี 2548 ก็ชักได้ยินไปในทำนองว่าทักษิณคิดจะล้มเจ้า  อยากตั้งตัวเป็นประธานาธิบดี   ตั้งพรรคไทยรักไทยก็เลือกเอาวันที่ตรงกับวันประชาชนโค่นล้มราชวงศ์ฝรั่งเศส  โลโก้พรรคก็เขียนเหมือนเลข 11 สื่อว่าจะเป็นผู้นำใหม่คนที่ 11   เป็นผู้ทำให้เกิดทุนนิยมสามานย์   และทักษิณทุจริตโกงคอรัปชั่นมากมาย

ซึ่งทั้งหมดผมก็แย้งข้อมูลบางอย่างไปบ้าง  เห็นสอดคล้องกับผู้นำมาเล่าบ้าง   แต่ผมก็เห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่ธรรมดาคนอยู่ในตำแหน่งย่อมมีทั้งผู้เห็นด้วย  ไม่เห็นด้วย    จึงไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก

ต่อมาเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหาร (19 กันยายน 2549)  คณะปฏิวัติอ้างเหตุผลประมาณ 4-5 ข้อ ที่โค่นล้มรัฐบาลทักษิณ   ทั้งข้อหาทุจริตคอรัปชั่น  ข้อหาแทรกแซงระบบกระบวนการยุติธรรม  ข้อหาไม่จงรักภักดี    ซึ่งพวกเพื่อนๆบ้าง   ลูกศิษย์เก่าบ้าง  ลูกศิษย์ใหม่บ้างมาชวนคุย หรือโทรศัพท์มาคุยด้วยเกือบทุกวัน เกี่ยวกับการปฏิวัติ  และเรื่องราวของทักษิณ

ซึ่งผมก็บอกไปว่า   ผมไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติในครั้งนี้   เพราะการกระทำเช่นนี้จะทำให้เกิดภาวะแผ่นดินแตกแยกเป็นสองพวก   และวันหนึ่งจะเกิดการฆ่าฟันเพราะเรื่องนี้แน่นอน    ที่ตอบไปเช่นนี้  เนื่องจากผมพอมีความรู้ทางด้านโหราศาสตร์อยู่บ้าง  ว่าถ้ามีคนจะทำร้าย  หรือบีบบังคับผู้นำในช่วงนี้   บ้านเมืองต้องเกิดเหตุการณ์เลวร้ายลงไปเรื่อยๆ  จนเข้าสู่ยุคแบบคำทำนายของคนโบราณเป็นแน่

และอีกประการหนึ่ง   ผมแย้งไปว่า  ถ้ากล่าวหาคนอื่นเลว ชั่ว  เป็นคนไม่ดี  แต่ทำไมไม่ดำเนินคดีฟ้องร้องให้เป็นกิจจะลักษณะ   เอะอะอะไรก็จะบังคับให้ยุบสภา   ถ้าสกัดกั้นไม่อยู่ก็จะปฏิวัติ   แล้วเอาคนที่ไม่ชอบนายกทักษิณมาเป็นผู้ดำเนินคดี   รับรองว่าคนที่เขาศรัทธา นิยมทักษิณต้องลุกฮือประท้วงแน่นอน   อย่างนี้ไม่ใช่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยแล้ว      ถ้าจะเอากันอย่างนี้  ประเทศไทยควรเปลี่ยนการปกครองไปในรูปแบบราชาธิปไตย (สมบูรณาญาสิทธิราช) เหมือนในอดีต   หรือจะเป็นไปในรูปแบบชนชั้นอภิสิทธิ์ชน (คณาธิปไตย) ไปเลย    ไม่ควรประกาศไปทั่วว่าประเทศไทยปกครองในรูปแบบประชาธิปไตย  และบังคับให้เด็กนักเรียนเรียนมาแบบนี้

ผมแย้งไปหลายเรื่อง หลายคน   ที่น่าขำ คือ มีลูกศิษย์เก่าคนหนึ่งต่อว่าผมไม่เปิดใจรับฟังความคิดเห็นของเขา    ผมก็แย้งว่าก็ที่เปิดโอกาสให้พูด  และผมก็นั่งฟังเขาพูดจนจบ  นี่ยังว่าไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นอีกหรือ   เพียงแต่ว่าเมื่อผมฟังจบ  ผมบอกไม่เชื่อ  เพราะผมมีหลักและเหตุผลเหมือนกัน    เขาคงโมโหขึ้นมาหน่อยและรำคาญความยึดมั่นถือมั่นของผมที่ไม่คล้อยตามความเห็นของเขา    เขาเลยโพล่งมาว่า  “อาจารย์น่ะ  หัดไปดู  ASTV  เสียบ้าง”

ผมล่ะหัวเราะอยู่นาน   และก็บอกเขาว่า   ชีวิตผมที่ผ่านมา  "...ผมไม่เคยเชื่ออะไรง่ายๆ อยู่แล้ว  แม้ว่าสิ่งนั้นมีเหตุผลพอ  ถ้าผมยังไม่รู้ที่มา หรือต้นเหตุ  ผมจะยังไม่กล้าสรุปโดยเด็ดขาด...."  ผมดูทั้ง ASTV และอ่านหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ  ผมรู้ทุกอย่างที่คุณสนธิกล่าวหาคุณทักษิณ   เพราะผมก็เป็นแฟนหนังสือพิมพ์ผู้จัดการทั้งรายวัน  รายเดือนมา 20 กว่าปี  บางเรื่องผมไม่เชื่อคุณสนธิ  เพราะผมก็เคยอยู่ในเหตุการณ์ หรืองานแบบนั้นมาก่อน  เช่น เรื่องทำบุญที่วัดพระแก้ว  การตั้งสังฆราชซ้อนสององค์ ฯลฯ

ผมแย้งเขาว่า  ข้อมูลมีมากมายทำไมไม่เข้าไปค้นคว้าในกูเกิล  หรือข่าวสารทั่วไป   เขาบอกว่า  ข้อมูลอื่นๆส่วนมากถูกตัดต่อ”    ผมก็แย้งว่า  อ้าว  แล้วทำไมไปเชื่อข้อมูลที่คุณสนธิพูด  ไม่คิดว่าคุณสนธิตัดต่อข้อมูลบ้างล่ะ”    เขาบอกว่า คุณสนธิน่าเชื่อถือ  เพราะพูดจามีเหตุผล  ที่สื่ออื่นๆไม่น่าเชื่อเพราะถูกทักษิณซื้อบ้าง   แทรกแซงบ้าง   ใช้อิทธิพลบังคับ” 

ผมก็เลยท้าพนันว่า  ภายใน 3 ปี ทั้งก่อนปฏิวัติและหลังปฏิวัติ  ถ้าสื่อถูกทักษิณซื้อบ้าง   แทรกแซงบ้าง   ใช้อิทธิพลบังคับก็ต้องมีคนเขียนนิยมทักษิณมากสิ    อย่างนั้นช่วยหาบทความ  หรือข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วไป  หรือนักวิจารณ์ข่าวตามสถานีโทรทัศน์ที่เขียนหรือพูดเชียร์ทักษิณมาให้ดูหน่อย  ผมจะให้ข่าว หรือบทความชิ้นละ 1,000 บาททันที      แต่จนแล้วจนรอด  ผมก็ยังไม่เคยเสียเงินเลยครับ    เพราะทุกหน้าหนังสือพิมพ์ตอนนั้น  นักวิจารณ์ข่าวโทรทัศน์ทุกช่อง  มีแต่ตำหนินายกทักษิณทั้งนั้น

ผมจึงสรุปบทเรียนการเรียนรู้ของผมช่วงนี้ได้ว่า   “...คนถ้าลงได้เชื่อแล้ว  จะด้วยความรัก หรือเกลียดก็ตาม   จะรับฟังเชื่อถือข้อมูลจากคนที่ตนเองชอบและศรัทธาอย่างเดียวเท่านั้น...”  ไม่มีวันไปอ่านศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งอื่นๆ แน่นอ
เช่น คนที่เกลียดทักษิณ  ก็จะดูแต่ช่อง ASTV  และ Blue Sky  ไม่มีวันไปเปิดช่อง Asia Update  อย่างแน่นอน  ในขณะเดียวกันคนที่รักทักษิณก็จะดูแต่ช่อง  Asia Update  ไม่ดูช่อง ASTV  และ Blue Sky เช่นกัน

แต่สำหรับผม  ทุกท่านสามารถถามได้เสมอว่า ช่อง  Asia Update หรือ ASTV  และ Blue Sky  นำเสนอข้อมูลอะไรบ้าง    เหมือนกับทุกวันนี้  ในเฟสผมก็มีทั้งพวกที่เกลียดทักษิณ   ชอบทักษิณ  และพวกชอบประชาธิปไตย   ผมสามารถรับฟังและอ่านทั้งสองฝ่ายได้           ส่วนหนึ่งเพราะผมเป็นนักจิตวิทยาที่เรียนมาทางด้านวิเคราะห์  ทำให้ผมเข้าใจว่า มนุษย์นั้นเหมือนกัน  แต่มีไม่เท่ากัน” 

ส่วนที่สอง  ผมพอมีความรู้ทางด้านโหราศาสตร์และพยากรณ์อยู่บ้าง   ผมไม่ใช่โหราจารย์หรือหมอดูหรอกครับ  ผมเป็นนักศึกษาโหราศาสตร์  แต่พอคุยได้ว่า  ผมอ่าน  ศึกษา และค้นคว้าโหราศาสตร์ทุกแขนง การพยากรณ์มาทุกสำนัก ทั้งจากตำรับตำรามาไม่น้อยกว่า 500 เล่ม  ทั้งจากสนทนา(เถียงบ้าง)กับผู้รู้ไม่น้อยกว่า ๑๐๐ คน  และที่ผมเชื่อมากที่สุดก็คือ โหราศาสตร์แผนใหม่ที่เน้นเรื่องกรรม (Karmic  Astrology)  ทุกคำตอบของเหตุการณ์เมืองไทย  สามารถตอบได้ทุกคำถาม

และส่วนที่สาม  ผมเชื่อมั่นในคำสอนพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะในเรื่องกฎแห่งกรรม  การเวียนว่ายตายเกิด และไตรลักษณ์ 3   ผมไม่เชื่อว่าจะมีคนธรรมดาสามัญที่ใช้ชีวิตแบบฆราวาสจะดีกว่ากันมากมาย ถ้าไม่ฝึกสมถกัมมัฏฐาน หรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน   เพราะยังไงๆ คนพวกนี้ก็ดำเนินชีวิตด้วยความโลภ  โกรธ  หลง ด้วยกันทั้งนั้น  แล้วแต่ใครจะมีมากมีน้อยกว่ากัน

ที่ เสียดาย  และ เสียใจตอนนี้  ก็คือ   ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธแท้ๆ   ทำไมคนไทยกลุ่มหนึ่งที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี เป็นชนชั้นสูง  มีการศึกษา   จึงดูถูก  ดูแคลนชาวบ้านธรรมดามากนัก.



ทั้งๆที่ พุทธศาสนาสอนว่า  ทุกคนไม่ได้ดีกว่ากันเพราะชาติตระกูล  หรือเพราะการศึกษา  แต่ต่างกันที่ความประพฤติและจิตใจ

วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เลือก และตัดสินใจให้ได้ว่า อะไรดีที่สุดสำหรับสังคมไทย

  • ผมเชื่อตามแนวทางพุทธศาสนาว่า การเมือง การปกครอง สังคม จะไม่มี หรือไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน ที่จะทำให้เกิด "...สังคมที่ดี สังคมอุดมคติ ที่มีแต่คนดีในโลกนี้ (แบบในยุคพระศรีอาริย์) ”

    ความจริงสังคมมนุษย์ทั่วไปในโลกตามแนวพุทธศาสนา ล้วนดำเนินชีวิตด้วยความโลภ โกรธ หลง หรือมีอวิชชา ราคะ ตัณหาเป็นแรงขับ แรงผลักดัน ไม่เว้นแม้บุคคลผู้นั้นจะอยู่ในชนชั้นใด

    แม้แต่สังคมภิกษุ / นักบวชในศาสนาพุทธ ถ้าทำตามพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์จริงๆ ก็ถือว่าเป็นสังคมที่ดีที่สุดในโลกอย่างที่ทุกคนใฝ่หา

    แต่ความเป็นจริงก็ยังมีภิกษุที่ทำผิดวินัย มีคนจิตใจหยาบช้า คนต่ำทรามเข้ามาอยู่ในแวดวงภิกษุ ต่อให้มีกฎเกณฑ์เข้มงวดแค่ไหน คนที่อ้างว่าตนเป็นภิกษุ ก็ทำผิดได้ ถ้าผู้เป็นครูอาจารย์ไม่ดีจริง หรือเอาใจใส่สั่งสอนอบรมจริง

    ในทัศนะของผม จึงไม่มีระบอบการปกครองแบบไหนดีที่สุดในโลก โดยไม่มีข้อบกพร่อง และผมก็เชื่อว่า ระบอบประชาธิปไตยก็ไม่ดีวิเศษกว่าระบอบการปกครองอื่นแต่อย่างใด, ถ้าคนและผู้นำในระบอบนั้นหลงตน และมัวเมาในอำนาจ ผลประโยชน์,
  •  แต่...ระบอบประชาธิปไตยดีตรงที่ว่า เมื่อคนเก่าหมดวาระลงตามที่กำหนด ประชาชนก็จะเลือก “ตัวแทน” ใหม่ โดยไม่ต้องรบราฆ่าฟันล้างโคตรเหมือนระบอบอื่นๆ

    ตามที่ผมรับรู้มา ระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่มุ่งเน้นให้ประชาชนมีความเสมอภาค ความยุติธรรม และเสรีภาพเท่านั้น เป็นระบอบแค่เลือก "ตัวแทน" ไปทำงาน ไม่ได้มุ่งเน้นหา "คนดี" มาเป็นผู้นำ ผู้ปกครอง แต่...ถ้าได้ "คนดี และเก่ง" มาเป็นตัวแทนยิ่งดีใหญ่

    ผมขอให้ "แง่คิด" ว่า เมื่อสังคมใดเลือกระบอบการอยู่ร่วมกันในสังคมแบบใดจริงๆ ก็ควรยึดมั่นถือมั่นตามหลักการของระบอบนั้นๆ เช่น สังคมไทยเลือกการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เราก็ควรยึดหลักการของประชาธิปไตยจริงๆ ที่มุ่งเน้นให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ แล้วเลือก "ตัวแทน" ไปทำงานตามที่ประชาชนต้องการ

    ไม่ใช่แบบทุกวันนี้ ที่ไปเอาหลักการ วิธีการของระบอบการปกครองอื่นๆมาปนเปกับระบอบประชาธิปไตย เช่น ต้องการให้นักการเมืองเป็น "คนดี" อ้างแต่ "ความเป็นคนดี" เพื่อทำลายคนที่อาสามาเป็น "ตัวแทนประชาชน" เป็นคนไม่ดี เพื่อคนที่อ้างตัวเอง "เป็นคนดี" เข้ามามีอำนาจแทน

    มันจะทำให้คนในสังคมนี้ สับสนในหลักการ แนวคิดไปหมดครับ

    แต่....ถ้ามีคนเชื่อว่าการปกครองที่ดีที่สุดของสังคมไทย ควรให้คนคนหนึ่ง หรือคนกลุ่มหนึ่งที่สังคมเชื่อว่า “เป็นคนดี มีความรู้ มีคุณลักษณะพิเศษเหนือกว่าประชาชนธรรมดา” มาเป็นผู้นำ ผู้ปกครอง คน ๆ นั้นก็ควรรณรงค์ชักชวนให้คนส่วนมากในสังคมไทยเห็นด้วย และเมื่อมีคนเห็นด้วยมากเข้า จนสังคมส่วนใหญ่เลือกและตัดสินใจใช้การปกครองแบบที่นำเสนอ ก็ควรประกาศให้โลกรับรู้ว่า เราเลือกระบอบการปกครองใหม่ ทุกคนจะได้ยอมรับขอบเขต ข้อจำกัดของตัวเอง จะได้ไม่ต้องไปหวังลมๆแล้งๆอีกต่อไป

    ส่วนผม ผมเชื่อว่าผมปรับตัวเข้ากับระบอบการปกครองทุกอย่างได้ เพราะผมเป็นพุทธศาสนิกชน "ไม่ยึดมั่นถือมั่น" และตัวผมเชื่อในการเวียนว่ายตายเกิดและกฏแห่งกรรมอย่างมั่นคง ทำให้ผมเชื่อว่าการที่เราเกิดในแต่ละชาติ เพราะเราต้องไปเรียนรู้ และชดใช้ความผิดพลาดที่ทำมาในอดีตชาติต่างๆ การเกิดในสังคมแบบใด แสดงว่าต้องเกิดมาเพื่อเรียนรู้โอกาส และอุปสรรคของสังคมแบบนั้น”

    เช่น ผมเกิดมาในสังคมไทย แสดงว่าผมต้องมาเรียนรู้การยึดติด ความหลงมัวเมาในความสุข สบาย ความเป็นคนดี” ให้ผ่านพ้นให้ได้, ถ้าผมไปเกิดที่เกาหลีเหนือ แสดงว่าผมต้องไปเรียนรู้การกดขี่ข่มเหง ระบอบชนชั้น, และถ้าผมไปเกิดในประเทศยุโรปในยุคกลาง แสดงว่าผมต้องไปเรียนรู้ไม่ให้เผยแพร่เรื่องความลึกลับ การเวียนว่ายตายเกิด หรือเรื่องที่ยุคนั้นห้ามเอาไว้ ผมต้องเน้นเรื่องความรัก ความเมตตาอย่างเดียว ถ้าผมดื้อรั้นและไม่ทำตาม ผมคงถูกแขวนคอ เผาไฟ หรือไม่ก็คงถูกบังคับให้กินยาพิษแน่ๆ,

    ช่วยกันทำให้สังคมไม่สับสนเถอะครับ ท่านที่คิดว่า "ตัวเองดีกว่า" หรือ “คิดดีกว่า” ชาวบ้าน อย่าอ้างประชาธิปไตย แต่ทำลายหลักการแนวคิดของประชาธิปไตย ถ้าท่านยังคิดว่าสังคมไทยควรปกครองในระบอบประชาธิปไตยอยู่

    ไปๆมาๆ ที่อ้างว่าจะ "โค่นล้มระบอบทักษิณ"นั้น แท้จริง จะกลายเป็น “ไม่ต้องการให้ประชาชนมีอำนาจปกครองตัวเอง” เสียมากกว่าครับ

วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วิบากกรรมสังคมไทย ? / วิบากกรรมส่วนตัว ?

ผมเขียนบทความนี้ เมื่อ 26 ธันวาคม ปีที่แล้ว(2555)   ไปลงที่เว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง   ผมเห็นว่าตรงกับสถานการณ์ในปัจจุบัน   จึงขอนำมาเสนอเป็นข้อมูลด้านหนึ่งอีกครั้ง   (จะเชื่อก็ได้  ไม่เชื่อก็ได้นะครับ)

..............................


การเมืองปีหน้า(2556) จุดโฟกัสจะไม่ได้อยู่ที่ทักษิณอีกต่อไป   หากแต่จะอยู่ที่ "การเปลี่ยนแปลง" ศูนย์อำนาจการเมือง   เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายจารีตนิยม  ฝ่ายอำมาตย์นิยม   และประชาชนทั้งหมด


ตามหลักโหราศาสตร์กรรม   :  ดวงชะตาบ้านเมืองไทย (ผมไม่ได้ใช้ดวงเมือง สมัยรัชกาลที่ 1 ทำนายครับ) มีดวงดาวปัจจุบัน (เสาร์ในราศีตุลย์ พฤหัสในราศีมิถุน ราหูในราศีธนู) ที่บอกเหตุว่า ถ้าประเทศไทยในปี 2556  มีความวุ่นวาย  และผู้ก่อความวุ่นวายไม่ใช่พวกเสื้อแดง  แสดงว่าบ้านเมืองเราจะกำลังผ่านพ้น "วิบากกรรมเก่า" ที่ทั้งคุณทักษิณ และบุคคลที่จองเวร ผูกเวรกันมา ได้ถึงเวลายุติกรรมนั้นแล้ว   เพราะเหตุ"นารีขี่ม้าขาว" (ดาวจันทร์ เรือน 9 ในราศีกุมภ์) [ที่ทางฝ่ายอำมาตย์เสกสรรปั้นคำทำนาย  แล้วกลับปรากฏว่าเป็นความจริงเสียนี่ (ฮา)] สามารถสลายอิทธิพลจากผู้มีอิทธิพล(ดาวอาทิตย์ เรือน 11 ในราศีพฤษภ) และกรรมเก่า(ดาวเสาร์ เรือน 11 ในราศีพฤษภ)  โดยการสนับสนุนจากนักวิชาการ/พระ (ดาวพหัสบดี เรือน 6 ในราศีธนู)   และนักคิดนักเขียนหัวก้าวหน้าที่ใช้วิทยาการทางเทคโนโลยีอิเลคทรอนิคส์ (ดาวพุธ และดาวยูเรนัส เรือน 10 ในราศีเมษ) [พวกอำมาตย์จึงสกัดถ่วงไม่ให้มี 3 G อย่างเต็มที่]  


พวกอำมาตย์เองก็รู้และเชื่อโหราศาสตร์ไสยศาสตร์อย่างยิ่ง (โดยเฉพาะรองหัวหน้าคณะอำมาตย์เก่งเรื่องนี้มาก)    จึงทำให้หัวหน้าอำมาตย์ และครอบครัว  ถึงกับดิ้นรนและแสวงหาทางยับยั้ง   แก้ไข   โดยการสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน   และไปแก้ทางไสยศาสตร์มีการสะเดาะเคราะห์  ต่ออายุ วุ่นวายไปทั่วประเทศ  ที่ไหนมีเกจิดัง หมอผีดังๆ หรือคิดว่าชื่อสถานที่ไหน(ชัยนาท+ชัยภูมิ ฯลฯ) จะช่วยเขาได้  เขาส่งคนไปให้ทำพิธีช่วยเขาหมด  


ส่วนตามหลักพุทธศาสนา :  ถ้าคุณทักษิณเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นผลมาจากกรรมที่เคยทำมา  และยอมรับชะตากรรมจากวิบากกรรมเก่านั้น  ไม่คิดต่อสู้กับพวกอำมาตย์ และครอบครัวหัวหน้าอำมาตย์ กรรมนั้นก็ยุติลงได้   (ผมเชื่อว่าจริงๆแล้ว  ในจิตสำนึกของคุณทักษิณไม่เคยคิดล้มสถาบัน  เนื่องจากในอดีตชาติที่ก่อกรรม  คุณทักษิณเคยเป็นบรรพบุรุษของตระกูลหัวหน้าอำมาตย์  จึงไม่ได้ก่อกรรมใหม่กันอีก,  นอกจากพวกอำมาตย์คอยพูด  คอยกระตุ้นให้ระแวงทักษิณเสมอ  ซึ่งนี่ก็คือวิบากรรมเก่าที่คุณทักษิณเคยทำไว้)   

เมื่อถูกกระทำจากกลุ่มอำมาตย์มากเข้า  นานๆที คุณทักษิณก็จะฮึดสักที  ตอบโต้สักที    แต่เมื่อทิ้งระยะนานไป  ก็ทำไม่ได้  เพราะใจคุณทักษิณมีความผูกพันกับเชื้อสายตระกูลหัวหน้าอำมาตย์มาทุกชาติ   และเนื่องด้วยคุณทักษิณไม่ได้เป็นคนผูกเวรมากับหัวหน้าอำมาตย์และครอบครัว  มีแต่พวกกลุ่มอำมาตย์และบริวารอำมาตย์ผูกเวรที่ผูกแค้นมากับคุณทักษิณเท่านั้น      แต่เนื่องจากหัวหน้าอำมาตย์ ผสมโรงกับเมียหัวหน้าอำมาตย์ที่มักใหญ่ใฝ่สูงอยากมีอำนาจบารมีล้นฟ้าล้นแผ่นดิน  บ้าสมบัติ งกสมบัติ  บ้าชื่อเสียงคำสรรเสริญเยินยอ   ไม่อยากให้ใครมาได้มากกว่าตัวเอง  และคิดว่าตัวเองเป็นอดีตผู้ยิ่งใหญ่มาเกิด  จึงบีบคั้น  ฆ่าฟันผู้ที่ไม่ยอมให้ตัวเอง สร้างความวุ่นวายไปทั่วประเทศ


ถ้าพวกเสื้อแดงก้าวข้ามคุณทักษิณ  หรือคุณทักษิณไม่ค่อยหวังพึ่งจากพวกเสื้อแดงอีกแล้ว  พูดแต่เรื่องประชาธิปไตย   แสดงว่ากรรมของคุณทักษิณกับพวกอำมาตย์กำลังใกล้จะจบสิ้นแล้ว   และถ้าพลังเสื้อแดงมุ่งมั่น  ไม่รอ  ไม่เกี่ยวกับคุณทักษิณแล้วจริงๆ   นั่นแสดงว่าพวกอำมาตย์เลิกผูกเวรผูกกรรมกับคุณทักษิณแล้วเช่นกัน  ถ้าจิตใจคุณทักษิณยอมเสียสละตนเอง  ยอมรับวิบากกรรมของตัวเองอย่างแท้จริ

แต่ก็จะทำให้พวกบริวารอำมาตย์เดิมไม่พอใจ  จะก่อความวุ่นวายขึ้นมา  เพราะยังไม่หายเจ็บแค้นที่ผูกเวรกันมา   กรรมใหม่ก็จะก่อขึ้นมาอีก  แต่ไม่รู้ว่าใครจะผูกเวรกับใครต่อไปในอนาคต  ทุกท่านต้องเฝ้ารอดูเองในปีหน้า    


แต่ถ้าในแง่สำหรับประชาธิปไตย :  กลับถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับการปกครองแบบระบอบนี้   เพราะทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงได้ต้องเกิดจากพลังของคนหมู่มาก   ไม่ใช่คิดหวังรอใครต่อใคร  ไม่ว่าทั้ง "ผู้มีบุญ" ผู้วิเศษ" ผู้มีบารมี" หรือ "พระโพธิสัตว์"  มาช่วยปัดเป่าทุกข์เข็ญของตัวเองอีก   


ถ้าสังคมไทยยังคิดรอใครมาเป็น "ผู้นำ" ให้  นั่นแปลว่า  สังคมไทยยังไม่หลุดจากวังวนเดิม 


ถ้าคนเสื้อแดง หรือพวกใจประชาธิปไตยเริ่มน้อยใจระบบชนชั้นมากขึ้น  อยากคิดลงมือทำด้วยตนเอง  และยิ่งถ้ารวมตัวสำเร็จ  ซึ่งผมก็เชื่อว่าสำเร็จแน่  เราจะเข้าสู่ยุค "มหาชนพาไป" ตามคำทายปลอมๆของพวกอำมาตย์นั่นเอง 


"...เพราะความกลัว  จึงทำให้เสื่อม..." อมตะวาจาของคุณสมัครนี้  ใช้การได้เสมอ


ถ้ายิ่งแก้ไข  ก้ยิ่งเกิด,  ยิ่งกลัว ยิ่งดิ้น  ก็ยิ่งเข้าทางหายนะความวิบัติ  (หนังเกาหลี "จูมง" เป็นตัวอย่าง ตอนพวกมเหสี ขุนนางแคว้นพูยอพยายามลอบฆ่าจูมง  เพราเชื่อคำทำนาย)