วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

วิพากษ์วิทยานิพนธ์

(ได้อ่านบทความการวิพากษ์วิทยานิพนธ์ ที่เขียนโดย ETAT DE DROIT   เมื่อ 5/19/2548 06:15:00 ก่อนเที่ยง  วันพฤหัสบดีพฤษภาคม 19, 2548  ดีมาก จึงนำมาเพื่อประโยชน์ต่อผู้สนใจครับ)

วันก่อนผมได้คุยกับสหายทางวิชาการของผม ปรากฏว่ามันไปประสบปัญหาเรื่องสอบวิทยานิพนธ์ปริญญาโทที่เมืองไทยเข้า กรรมการสอบขอแก้เรื่องที่มันทำหลายประเด็น ทั้งๆที่ตอนสอบเค้าโครงก็ผ่านไปด้วยดี แต่พอมาคราวนี้สอบเนื้อหา กรรมการดันย้อนกลับไปรื้อเค้าโครงของมันอีก เลวร้ายกว่านั้น ไอ้เค้าโครงบทต่างๆที่รื้อเป็นส่วนที่บรรดากรรมการทั้งหลายขอให้เขียนเอง ด้วยอึ้งครับ

ใครเจออย่างนี้คงอึ้งไปตามกันผมไม่แน่ใจว่า การศึกษาระดับปริญญาโทและการทำวิทยานิพนธ์ที่เมืองไทยของคณะอื่นจะเหมือนกับ คณะผมหรือเปล่า ผมเลยขอกล่าวเฉพาะในส่วนของนิติศาสตร์ที่ผมคุ้นเคยแล้วกันปริญญาโท นิติศาสตร์ มธ. เมื่อก่อนเรียนกันมาราธอนมากครับ เรียนครอสเวิร์คหมดนี่ก็เกือบ ๔ ปีได้ ทำวิทยานิพนธ์อีก ๓-๔ ปี หาได้ยากมากครับบนโลกใบนี้ที่เรียนปริญญาโทยาวนานเกือบทศวรรษ

จนกระทั่งปีการศึกษา ๒๕๔๔ รุ่นที่ผมและเพื่อนเข้าไปเรียนปีแรก ก็มีการเปลี่ยนหลักสูตร เรียนครอสเวิร์คแค่ปีครึ่งหรือ ๓ เทอม จากนั้นก็ลงมือทำวิทยานิพนธ์ รวมระยะเวลาทั้งครอสเวิร์คและวิทยานิพนธ์ต้องไม่เกิน ๔ ปีจากการที่ผมเป็นลูกครึ่งเคยเรียนทั้งโทที่เมืองไทย (แต่ลาออกมาก่อนเพื่อมาเรียนต่อที่นี่) และกำลังทำเอกที่ฝรั่งเศส

ผมเลยมานั่งคิดๆ มองระบบวิทยานิพนธ์ที่ฝรั่งเศสแล้วย้อนกลับไปดูที่บ้านเรา มีข้อสังเกตและวิพากษ์วิจารณ์ได้หลายประเด็นครับ ตั้งแต่ตัวเนื้อหา ระบบการสอบ ยันการ จิ้มก้องอาจารย์ที่ปรึกษาและกรรมการ

ประเด็นที่หนึ่ง  ระบบการสอบวิทยานิพนธ์การสอบวิทยานิพนธ์ที่เมืองไทยต้องสอบสองรอบ คือ สอบเค้าโครงและสอบตัวเล่ม ส่วนที่ฝรั่งเศส ผมสอบรอบเดียว ปีแรกผมก็วิ่งหาอาจารย์ที่ปรึกษา เสนอว่าผมจะทำหัวข้ออะไร ถ้าอาจารย์ตกลงรับ เราก็ไปลงทะเบียนหลักสูตรปริญญาเอกได้ จากนั้นเราก็ทำงานไปปรึกษากับอาจารย์เราไปเรื่อยๆจนครบสามปี ถ้าปิดเล่มได้ก็ขอสอบ อาจารย์ก็จะหารือกับเราว่าจะตั้งใครเป็นกรรมการบ้าง แล้วก็นัดสอบเพื่อปกป้องวิทยานิพนธ์ของเรา

ผมเห็นว่าระบบของบ้านเราน่าจะสอบมากเกินไป วิทยานิพนธ์เป็นงานของเราร่วมกับอาจารย์ที่ปรึกษา ระหว่างการทำงานตลอด ๒-๓ ปีนี้ เราก็โดนอาจารย์อัดตลอด ถ้าเค้าเห็นว่างานได้มาตรฐานพอควรก็จะอนุญาตให้ปิดเล่มเพื่อเตรียมสอบ ในทางกลับกันถ้าไม่โอเค เราก็ต้องแก้ไปเรื่อยๆ แต่ที่เมืองไทยกลับเป็นว่าโดนอาจารย์ที่ปรึกษานวดแล้วนวดอีก พอไปสอบเค้าโครง กรรมการดันมาแก้ของเราอีก แก้เสร็จ สอบเล่มรอบที่สอง ไม่พอใจ แก้อีก แก้ไปแก้มา จนบางครั้ง งานของเราแทบไม่เหลือเนื้อหาที่เราตั้งใจจะทำเลย กลายเป็นเขียนตามใบสั่งกรรมการแก้

ตามใจกรรมการขนาดนี้ ไม่ใช่วิทยานิพนธ์ของเราแล้วครับ เรียกว่าวิทยานิพนธ์ของ ศ.ดร. อัตตา อีโก้จัด ประธานกรรมการ, รศ.ดร. มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ กรรมการ, รศ.ดร. กูเก่ง อย่าเถียงกู กรรมการ, ผศ.ดร. ไม่ได้อ่าน แต่ขออัด กรรมการ และรศ.ดร.ได้ครับท่าน ดีครับผม อาจารย์ที่ปรึกษา น่าจะเหมาะสมกว่า ถามว่าแล้วยอมแก้ตามทำไม เถียงสิ สู้สิ 

ถ้าโลกแห่งความ ฝัน สหายทางวิชาการของผมมันคงทำไปแล้ว แต่บนโลกหม่นๆ (ของมันในขณะนี้) ก็คงได้แต่นั่งจดๆๆๆ ที่เค้าสั่งให้แก้พร้อมๆกับด่าในใจว่า แมร่ง... (เติมคำในช่องว่างตามอัธยาศัย) ....”ไม่ต้องเดือดร้อนไปถามเปาบุ้นจิ้นหรอกครับ วิญญูชนอย่างเราๆลองช่ังน้ำหนักดู

งานที่เราทำมา ๒-๓ ปี แต่กรรมการเอาไปอ่านแค่สัปดาห์เดียว (จริงๆอาจอ่านบนรถระหว่างเดินทางมาสอบ เค้าให้ไปอ่านตั้งหลายสัปดาห์ ดันเอาไปนอนกอดเล่นซะงั้น) มาถึงก็ชี้นิ้วกราดสั่งแก้นั่นแก้นี่ มันเป็นธรรมมั้ย? ปัญหาเบื้องต้นอยู่ที่หน้าที่ของกรรมการสอบวิทยานิพนธ์

ผมไม่ทราบเหมือนกันว่ามีระเบียบมหาวิทยาลัยข้อไหนที่เขียนหน้าที่ของกรรมการ ไว้หรือไม่ แต่โดยทั่วไปเราเอ่ยคำว่า กรรมการแล้ว ก็จะนึกถึงคนที่มีหน้าที่ในการตัดสินหรือชี้ขาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่เข้าไปล้วงลูกทำหรือแก้ไขในเรื่องนั้นๆเสียเอง

ยิ่งไปกว่านั้น ผมดูระบบของฝรั่งเศสและลองสอบถามคนที่เคยผ่านสมรภูมิการสอบวิทยานิพนธ์ใน ประเทศอื่นๆแล้วก็ยิ่งงงไปกันใหญ่กับระบบที่บ้านเราเป็นอยู่ ผมพบว่ากรรมการสอบมีหน้าที่ในการสอบเท่านั้น กรรมการจะอัดประเด็นจุดอ่อนหรือที่น่าสงสัยในวิทยานิพนธ์ของเรา แล้วเราก็ต้องอธิบายไป เท่านั้นเองหน้าที่เขา

แต่...กรรมการ บ้านเราเล่นมีสอบสองครั้ง กรรมการก็เข้ามาแทรกแซงงานของเราตั้งแต่การสอบเค้าโครง ไปตัดนั่นนิด เติมนี่หน่อย พอสอบตัวเล่ม กรรมการยังไม่พอใจ อยากให้แก้อีกเลยลงมติให้ผ่านแบบมีเงื่อนไข (รู้สึกจะมีที่ไทยแลนด์ที่เดียวมั้งครับนี่) เราก็ต้องตามไปแก้อีกรอบ

ที่สำคัญกรรมการบางคนดันลืมว่าเคยสั่งให้นักศึกษาไปแก้เอง  แต่ดันมาอัดนักศึกษาอีกว่าเอามาจากไหนนี่มันประเด็นใหม่ เจอยังงี้เข้าก็หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่เป็นล่ะครับ  ถ้าระบบการสอบวิทยานิพนธ์เมืองไทยยังเป็นเช่นนี้   เห็นจะหนีไม่พ้น งานที่อยู่ในนามของนักศึกษา   แต่มีวิญญาณของประธานกรรมการและกรรมการซ่อนอยู่ แล้วระบบความรับผิดชอบในงานจะอยู่ที่ไหนยังน่าสงสัยอยู่ งานในชื่อของเรา แต่ไม่ได้เป็นความคิดเรา

คนอ่านอยากวิจารณ์ก็ต้องวิจารณ์งานของผู้เขียนหาใช่ งานของกรรมการไม่ มิพักต้องกล่าวถึงวิทยานิพนธ์ประเภท งานฝากที่กรรมการอยากรู้เลยสั่งให้เขียน  กรรมการบางคนสนใจแต่ไม่มีปัญญาเขียนเองหรือมีปัญญาแต่ขี้เกียจก็มา ฝากให้เด็กค้น แล้วเขียนลงในวิทยานิพนธ์ 

กรรมการบางคนทำราว กับว่าวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาเป็นห้องน้ำหรือห้องนอนที่ไว้ใช้สำเร็จความ ใคร่กามกิจทางวิชาการของตนเอง   ผมคิดว่าคนที่มี สิทธิในการล้วงลูกวิทยานิพนธ์ของเรามีได้คนเดียวเท่านั้น คือ อาจารย์ที่ปรึกษา เพราะเป็นคนที่ทำงานร่วมกับเรามาตลอดสามถึงสี่ปี แต่ถ้าเราไม่เห็นด้วยก็ยังมีสิทธิสงวนเรื่องที่เราอยากเขียนไว้ในวิทยา นิพนธ์ของเราได้ เพราะในท้ายที่สุด  วิทยานิพนธ์นั้นก็ปรากฏในนามของเราตลอด

การเรียนปริญญาเอกในปีแรกของผม ผมกำหนดประเด็นปัญหาและร่างเค้าโครงละเอียดในวิทยานิพนธ์พร้อมกับหารือ อาจารย์ที่ปรึกษาผมโดยตลอด อาจารย์ย้ำกับผมในทุกครั้งว่าเป็นงานของผม ผมมีเสรีภาพในการประดิษฐ์เค้าโครงของผมได้เต็มที่ แกเพียงแต่เสนอแนะในสิ่งที่แกคิดว่าเหมาะให้ผมรู้เท่านั้น จะเอาหรือไม่เอาอยู่ที่ผม แกบอกผมว่าเราออกแบบเค้าโครงได้หลายรูปแบบ ผมมีอิสระในการคิดได้เต็มที่ หลายครั้งแกก็โอเคตามผม และอีกหลายครั้งผมก็เชื่อตามแก

ต้องยอมรับว่ามีบางประเด็นที่ผมมองไม่เห็นแต่พอแกพูดขึ้นเท่านั้นแหละ ผมปิ๊งเลยไม่เพียงแต่เนื้องานเท่านั้นที่เรากับอาจารย์ที่ปรึกษาร่วมกันทำ หากยังรวมถึงการตั้งกรรมการสอบอีกด้วย อาจารย์อยากเอาใครมาเป็นกรรมการก็ต้องถามเราก่อน ในขณะเดียวกันอาจารย์เองก็จะแนะนำด้วยว่าใครที่เชี่ยวชาญในเรื่องที่เราทำ และเหมาะมาเป็นกรรมการสอบ

ย้อนมาดูที่บ้านเราอาจารย์ที่ปรึกษามักจะผูกขาดการทาบทามกรรมการสอบ  เหตุผลที่ผมนึกออก  มีสามประการ  คือ  หนึ่ง นักศึกษาเราไม่รู้จักอาจารย์เท่าไรนัก  สอง อาจารย์ที่เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่องมีน้อยเต็มที  จึงไม่จำเป็นต้องหารือว่าจะตั้งใครเป็นกรรมการดี  ยังไงๆกรรมการก็จะวนกันอยู่ที่หน้าเดิมๆ และสาม อาจารย์ที่ปรึกษายึดอำนาจจากเราไปเพื่อลดขั้นตอน เพราะเกรงว่าหากมัวแต่หารือจะเสียเวลาอันมีค่าในการทำวิจัยหาเงินของตนไป

เมื่อผู้เชี่ยวชาญเรามีน้อยผสมกับอาจารย์ที่ปรึกษาจัดการทาบทามคนที่เค้าสนิท หรือเคารพเป็นการส่วนตัวก็เกิดปัญหาตามมาอีก  อาจารย์ที่ปรึกษาแทนที่จะช่วยปกป้องวิทยานิพนธ์เรายามที่กรรมการอัดตอนสอบ แต่กลับนิ่งเฉย ไม่อนาทรร้อนใจ  ปล่อยให้กรรมการอัดอย่างเมามัน ยิ่งไปกว่านั้นบางคนยังไปช่วยกรรมการอัดเราอีกด้วยทำไมเป็นเช่นนั้น? ผมคิดว่ามาจากระบบอาวุโสซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของบ้านเราครับ  จริงอยู่การเคารพอาวุโสเป็นข้อดีที่เรามีเหนือชาติอื่นๆ แต่บางครั้งมันก็เป็นดาบสองคม เราเคารพมากจนเกินเรียกว่าเคารพ   ผู้ใหญ่ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น เถียงไม่ได้ ถึงอยากเถียงก็ไม่ควรเถียง เพราะเถียงไปอาจสร้างความหมั่นไส้ให้แก่บรรดาผู้ใหญ่ที่ถือว่าตนเป็น authority ในด้านนั้นๆ

ไม่น่าแปลกใจเลยที่อาจารย์ที่ปรึกษาไม่กล้าปกป้องวิทยานิพนธ์ของ นักศึกษา ในเมื่อกรรมการและประธานกรรมการล้วนแล้วแต่เป็น มาเฟียในสาขานั้นๆ แหม... ขืนอาจารย์ที่ปรึกษาออกรับแทนเด็กก็กลายเป็นการดับอนาคตตัวเองไปสิครับ เพื่อนผมคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า นักเรียนไทยเข้าสอบวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่ฝรั่งเศส กรรมการสอบถามเรื่องที่ลึกมากๆ นักเรียนไทยคนนั้นตอบไม่ได้ งง อึ้ง  อาจารย์ที่ปรึกษาออกรับแทนว่าผมคิดว่าประเด็นที่ท่านกรรมการถามมานี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับวิทยานิพนธ์ ที่ลูกศิษย์ของผมเท่าไรนัก มันลึกเกินไป ผมขอตอบแทนแล้วกัน...น่าคิดนะครับว่าประโยคนี้ผมจะมีโอกาสได้ยินจากอาจารย์ที่ปรึกษาของบ้านเรา หรือเปล่า


ประเด็นที่สอง  เนื้อหาของ วิทยานิพนธ์เท่าที่ผมอ่านวิทยานิพนธ์ในสาขากฎหมายมา เค้าโครงวิทยานิพนธ์ส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบ สำเร็จรูปเริ่มจากบทที่ ๑ บทนำ  บทที่ ๒ ประวัติศาสตร์ ความเป็นมา พัฒนาการ  บทที่ ๓ กฎหมายอังกฤษ บทที่ ๔ กฎหมายอเมริกา  บทที่ ๕ กฎหมายฝรั่งเศส   บทที่ ๖ กฎหมายเยอรมัน  และปิดท้ายที่บทที่ ๗ สรุปปัญหาและข้อเสนอแนะกล่าวเช่นนี้ วิทยานิพนธ์สาขานิติศาสตร์ไทยล้วนแล้วแต่เป็นกฎหมายเปรียบเทียบ (จริงๆไม่ใช่เปรียบเทียบด้วย เป็นการเอาเรื่องนั้นๆ ของกฎหมายหลายๆประเทศมาแปะลงไปมากกว่า คำว่า กฎหมายเปรียบเทียบมีระเบียบวิธีที่ลึกกว่านั้น ไว้มีโอกาสผมจะเล่าให้ฟัง) นอกจากเป็นกฎหมายเปรียบเทียบแล้ว   เรายังพบเห็นวิทยานิพนธ์ที่เหมือนเอาเรื่องทางปฏิบัติมาเขียนอยู่ดาษดื่นถาม ว่าวิทยานิพนธ์แบบนี้ผิดมั้ย ? ผมว่าไม่ผิด แต่ไม่ควรเป็นแบบนี้ทั้งหมด

วิทยานิพนธ์ประเภทคล้ายกับงานวิจัยตามส่วนราชการต่างๆที่จ้างอาจารย์ มหาวิทยาลัยทำ   หรือวิทยานิพนธ์ประเภทคล้ายกับเรื่องในทางปฏิบัติ   หรือวิทยานิพนธ์ประเภทที่ไม่สะท้อนถึงงานในทางทฤษฎี  ผมว่าไม่ควรจะมีมากจนเกินไป   เพื่อนผมคนหนึ่งมาหารือกับผมบ่อยครั้งว่าเรื่อง ที่มันทำมีปัญหาอะไรบ้าง มีทางแก้อย่างไร เราจะแก้กฎหมายมาตราไหนดี เราจะเสนอร่างกฎหมายใหม่ๆเพื่อสร้างกลไกใหม่ๆเพื่อแก้ไขปัญหานั้นดีหรือไม่ ผมได้ยินคำถามทำนองนี้บ่อยครั้ง

คนส่วนใหญ่มักติดขัดที่บทสุดท้ายเรื่องข้อเสนอแนะ  คือไม่รู้ว่าจะเสนออะไรดี   ผมเห็นว่าถ้านึกไม่ออกก็ไม่จำเป็นต้องเสนอ  ข้อเสนอแนะนี่ถ้าไม่มั่นใจ ไม่รัดกุม ผมว่ายิ่งไม่ควรเสนอ นักศึกษามักคิดกันว่าบทสุดท้ายในชื่อว่า บทสรุปและข้อเสนอแนะบังคับให้เราต้องเสนอ สิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีในวงการกฎหมายมาก่อนลงไปให้มันดูเท่ ดูดี ผมกลับเห็นว่าอันตราย ข้อเสนอที่ไม่ผ่านการกลั่นกรองอย่างรอบคอบ  ข้อเสนอที่ไม่ปิดจุดอ่อนให้รัดกุม ข้อเสนอที่อธิบายในทางทฤษฎีไม่ได้เท่าไรนัก  ยิ่งจะโดนกรรมการต้อนได้ง่าย (แต่กรรมการบ้านเราอาจไม่สนใจประเด็นนี้ ๕๕๕)

ผมเห็นว่าถ้าอยากหา สิ่งใหม่ควร ใหม่ทางทฤษฎีมากกว่า เอาทฤษฎีมาฟาดฟันกัน ซึ่งน่าจะเป็นหน้าที่หลักของวิทยานิพนธ์ในระดับมหาบัณฑิตหรือดุษฎีบัณฑิต  ถ้าหาไม่ได้ก็น่าจะเป็นการรวบรวมในเรื่องนั้นๆแล้วนำมาสังเคราะห์ นำมาร้อยเรียงในแง่มุมที่ต่างออกไปแต่ในทางความเป็นจริง

ลองมองย้อนกลับไปที่วิทยานิพนธ์นิติศาสตร์มหาบัณฑิตตามชั้นหนังสือที่ห้อง สมุดดูสิครับ ผมว่ามีไม่เกินสิบเล่มที่ว่าถึงงานทางทฤษฎี นอกนั้นก็งานเชิงวิจัย งานภาคปฏิบัติ งานที่เอาตำราของบรรดากรรมการมาแปะๆลงไปเมื่อวิทยานิพนธ์นิติศาตร์มหาบัณฑิต ของบ้านเราเป็นกฎหมายเปรียบเทียบ(แบบแปะของเค้ามา) ห้าถึงหกประเทศผสมกับงานเชิงวิจัยแบบที่ส่วนราชการนิยมจ้างให้ทำ   จึงไม่น่าแปลกใจหากเราจะเห็นบทสรุปและข้อเสนอแนะว่า...๑. กฎหมายประเทศ ....บลา บลา บลา..... ว่าอย่างนี้   ๒. กฎหมายไทยยังไม่มีเหมือนที่ประเทศ ....บลา บลา บลา....มี   ๓. จึงเสนอว่า ประเทศไทยควรเอาอย่างที่ประเทศ .....บลา บลา บลา....... มีมาใช้เสียเอวังด้วยประการฉะนี้ง่ายมั้ยครับ

ประเด็นที่สาม  คุณภาพของนักศึกษาและการอุทิศตนของอาจารย์ผมขอสวมวิญญาณคุณปริเยศภาคไม่ไว้หน้าใคร เพื่อที่จะบอกว่า  นักศึกษาในระดับ มหาบัณฑิตในคณะผมที่มีคุณภาพควรค่าแก่การเรียนระดับมหาบัณฑิตนั้นมีน้อยจน เรียกได้ว่านับหัวได้   จะไปโทษนักศึกษาก็ไม่ถูกนัก  ในเมื่อบ้านเรามีตลาดแรงงานที่ขึ้นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา  ใครได้ปริญญาโท ปริญญาเอก เงินเดือนยิ่งเยอะ   เช่นนี้ยิ่งทำให้ปรัชญาการศึกษาระดับสูงมั่วไปหมด   

จากเดิมที่การศึกษาระดับมหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิตเป็นการศึกษาเชิงลึกใน เรื่องเฉพาะ  เพื่อผลิตคนไปเป็นนักวิชาการในด้านนั้นๆกลายเป็นการศึกษาเพื่อเอาไปขึ้นเงินเดือน   หรือเพื่อฆ่าเวลาเพราะจบตรีมาแล้วยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดี  หรือเพื่อเรียนตามที่พ่อแม่สั่ง   หรือเพื่อเรียนตามเพื่อนๆ ฯลฯ  จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะไม่ค่อยพบนักศึกษาปริญญาโทที่มีฉันทะทางวิชาการ ที่มุ่งมาดปรารถนาไปเป็นนักวิชาการ ที่มีนิสัยชอบค้นคว้าและขีดเขียน ที่มีนิสัยชอบคิดและถกเถีย

กลับกัน เราจะพบแต่นักศึกษาปริญญาโท ปริญญาเอกที่เข้ามาเรียนไปเพื่อเอาวุฒิปริญญาเพื่อไปใช้ สอบผู้ช่วยผู้พิพากษา สนามเล็กที่เปิดรับแต่พวกมหาบัณฑิตทำให้คู่แข่งมีน้อยลงเมื่อตลาดเป็นแบบนี้  คณะต่างๆก็หนีไม่พ้นในการปรับตัวเข้ากับตลาด แย่งกันเปิดสารพัดหลักสูตร สารพัดโครงการ เพื่อดึงดูดใจนักศึกษาที่เป็นเหมือน ลูกค้าในมหาวิทยาลัยแม็คโดนัลด์

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นักศึกษาที่มาเรียนแบบมีเป้าหมายแค่เอากระดาษแผ่นเดียวจะไม่ทุ่มเทค้นคว้า ขีดเขียน ในวิทยานิพนธ์ของตนเองเท่าไรนัก ขอเพียงเอาตัวรอดเพื่อได้กระดาษแผ่นนั้น ทุกอย่างก็เสร็จสมอารมณ์หมาย  ไม่เพียงแต่คุณภาพของนักศึกษาเท่านั้น   ตัวอาจารย์เองก็เช่นกัน อาจารย์ที่อุทิศตนให้กับวิทยานิพนธ์ของนักศึกษามีน้อยมาก นักศึกษาอู้  ขี้เกียจไม่หมั่นติดต่อาจารย์  ผิดที่ตัวนักศึกษาเอง   แต่...จะให้นักศึกษาวิ่งรอกหาอาจารย์ทุกวันโดยไม่ต้องทำมาหากินอย่างอื่น  แบบนี้เห็นทีจะไม่ไหวเหมือนกัน   ธรรมเนียมของเราไม่นิยมให้นักศึกษาติดต่อกับอาจารย์   บางคนอาจให้เด็กติดต่อทางอีเมล์  แล้วเกิดพี่ท่านไม่เปิด หรือเปิดแล้วไม่ตอบล่ะครับ  ผมว่าไม่น่าแปลกนะกับการอนุญาตให้เด็กโทรมาหาเพื่อนัดคุยกันเรื่องงาน  

ทุกวันนี้ผมก็โทรนัดอาจารย์ที่ปรึกษาผมตลอด แรกๆก็ไม่ค่อยกล้า จนอาจารย์ผมงงว่าทำไม ผมเลยอธิบายไปว่าบ้านผมไม่ค่อยมีเท่าไรที่ผมเรียกร้องการอุทิศตนจากอาจารย์   แต่ผมไม่ได้หมายความถึงขนาดที่ว่าอาจารย์ต้องนั่งเฝ้าคณะทุกวัน  ขอเพียงเจียดเวลาอันมีค่าจากงานวิจัยทั้งหลายเพื่อมาคุยกับเด็กในเรื่องวิทยานิพนธ์สักนิดก็พอครับ  ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยแล้วมาเร่งเอาสองสามเดือนสุดท้ายเอาเข้าจริง   

บ่นๆไปก็หนีไม่พ้นไปพัวพันกับเรื่องค่าตอบแทนของอาจารย์อีก อาจารย์ต้องกินต้องใช้เหมือนคนทั่วๆไป เงินเดือนสองถึงสามหมื่นเศษๆ คงไม่พอยาไส้กับชีวิตเมืองหลวง ไหนจะลูกจะเมีย   ก็ต้องออกไป ขุดเงินเอากับงานวิจัยบ้างเป็นแบบนี้ จะไปบ่นอะไรได้ครับเช่นนี้แล้ว   เราคงไม่อาจคาดหวังงานชั้นดีจากวิทยานิพนธ์ที่ทั้งลูกศิษย์ทั้งอาจารย์มา เร่งเอาสองเดือนสุดท้ายได้กระมังครับ................

ผมวิพากษ์การทำวิทยา นิพนธ์ไทยยาวมาก มานั่งนึกๆดู ผมเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตถ้าผมมีโอกาสไปเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว ผมจะทำอย่างไร ในเมื่อระบบมันเป็นเช่นนี้ คนตัวเล็กๆมีแค่สองมือเปล่าอย่างผมจะไปต้านทานระบบที่เก่าแก่และฝังรากลึก ได้เท่าไรกันเชียว ได้แต่หวังว่าผมจะยืนอยู่ในระบบนี้ได้โดยไม่โดนกลืนเข้าไปด้วย ถ้าถึงวันหนึ่งผมถูกกลืนเข้าไป หากใครพบเห็น ขอความกรุณาเตะก้นแรงๆให้ผมรู้ตัวละกัน จักเป็นพระคุณอย่างสูงเอาเข้าจริง

ที่ผมร่ายยาวมาทั้งหมดมันก็เป็นปัญหางูกินหาง พันกันไปมาไม่รู้จบ ตั้งแต่ระบบการสอบ การประนีประนอมสไตล์ ไทยๆความอาวุโส การตั้งตนเป็น authority ในสาขาต่างๆ คุณภาพนักศึกษา ระบบการศึกษาระดับสูง ภารกิจของมหาวิทยาลัย ภารกิจของการศึกษาระดับสูง ค่าตอบแทนอาจารย์ เวลาที่อาจารย์มีให้กับนักศึกษา ตลาดแรงงาน ฯลฯ ไล่ไปเรื่อยๆสงสัยจะไม่จบครับ เฮ้อ...น่าจะถึงเวลาที่ต้องคิดดังๆเสียทีว่า มหาวิทยาลัยควรเป็นโรงงานผลิตปริญญาบัตรที่มีลานวิ่งเล่นให้ลูกของชนชั้น กลาง (ส่วนใหญ่) หรือเป็นแหล่งบ่มเพาะทางปัญญากันแน่



ท่านผู้ใดสนใจอ่านเพิ่มเติมได้ที่  http://etatdedroit.blogspot.com/2005/05/blog-post_18.html