tag:blogger.com,1999:blog-73807487093234785162024-03-26T21:28:56.022-07:00ทัศนะ-แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.comBlogger74125tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-32329686460006281512016-02-22T19:42:00.003-08:002016-02-26T18:31:27.740-08:00ศาสนาพุทธที่แท้ มิใช่เพื่อ "สังคม" <div class="MsoNormal">
<div align="center" class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt; text-align: center;">
<span style="font-family: inherit;"><b><span lang="TH" style="line-height: 115%;">ศาสนาพุทธที่แท้
</span></b><b><span style="line-height: 115%;"> <span lang="TH">มิใช่เพื่อ "สังคม"</span><o:p></o:p></span></b></span></div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt; text-align: center;">
<b><span style="line-height: 115%;"><span lang="TH" style="font-family: inherit;">...................</span></span></b></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<b><span lang="TH" style="font-family: inherit; line-height: 115%;">๑....</span></b></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="line-height: 115%;">ทุกวันนี้ ผู้คนมักคิดว่าพระภิกษุนี้ยุ่งวุ่นวายมาก ซึ่งถ้าดูตามสถานการณ์
ก็จริงอย่างที่ผู้คนคิด แต่ถ้าจะศึกษาปรากฏการณ์
ก็อาจจะทำให้ค้นพบและตระหนักว่า สาเหตุที่แท้จริงไม่ได้เป็นมา หรือเริ่มต้นจากพระแต่อย่างใด</span><span style="line-height: 115%;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="line-height: 115%;">สาเหตุจริงๆ เพราะ “คน”
ชอบไปยุ่งกับพระมากกว่า ถ้าพระท่านออกบวชเอง ท่านก็บวชโดยมุ่งหวังว่าจะฝึกหัดตัวเองให้ดีขึ้นตามพระธรรมวินัย
และคำสั่งสอนของพุทธองค์ ไม่ได้คิดจะมาเกี่ยวข้องกับโลก หรือสังคมเลย</span><span style="line-height: 115%;"> <span lang="TH"> มุ่งแต่จะหาทางดับทุกข์ พ้นทุกข์
ไปนิพพานไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก</span></span><b><span style="line-height: 115%;"><o:p></o:p></span></b></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="line-height: 115%;">แต่.. “คน” ส่วนหนึ่งนั่นแหละ ที่สร้างพระไม่ดีขึ้นมา ด้วยการอยากให้ลูกหลานบวช ส่วนหนึ่งอยากให้บวช เพราะเป็นประเพณี, ส่วนหนึ่งอยากให้บวชเพื่อตอบแทนคุณพ่อแม่, ส่วนหนึ่งอยากให้บวชก่อนไปแต่งงาน, ส่วนหนึ่งอยากให้บวชเรียน เพื่อมุ่งหวังให้หลวงพ่อ หลวงปู่ พระที่ตนเองนับถือ ช่วยฝึกหัดลูกหลานตัวเองให้ดีขึ้นตามพระธรรมวินัย
ไม่ได้อยากให้ลูกหลานไปนิพพาน หรือบรรลุตามคำสอนของพุทธองค์เลย, เมื่อครบเวลาที่กำหนด หรือเห็นว่าลูกดีขึ้น ก็อยากให้ลูกลาสิกขา มาช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน หรือ
เลี้ยงดูพ่อแม่บ้าง ซึ่งประเภทนี้ถ้าได้ครูบาอาจารย์ฝึกหัดให้ดี ก็โชคดีไป
แต่ถ้าวัดที่บวชมีแต่หลวงตาเฝ้าวัดให้ชาวบ้าน ก็โชคร้ายไป
บวชเข้าไปแล้วไม่ได้อะไรเลย นอกจากกินแล้วนอน </span><b><span style="line-height: 115%;"><o:p></o:p></span></b></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="line-height: 115%;">แล้วก็ “คน” อีกนั่นแหละ
ที่เห็นว่าพระที่บวชนานๆ ท่านคงมีคุณวิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งที่ดีกว่าคนทั่วไป
เพราะได้ปฏิบัติตามศีลตามธรรม หรือฝึกฝนจิตใจ (นั่งสมาธิ ภาวนา) จึงอยาก(นิมนต์)ให้พระเป็นที่พึ่ง ช่วยสงเคราะห์ชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นครู เป็นหมอยา หมอดู หรือผู้วิเศษผู้ปัดเป่าเคราะห์หามยามร้าย บันดาลโชคลาภ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไร
ก็เพื่อตอบสนอง "สังคม" มากกว่าที่จะให้พระภิกษุปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดจริง
หรือสอนไปเพื่อ </span><span style="line-height: 115%;">“<span lang="TH">นิพพาน ความพ้นทุกข์</span>”
<span lang="TH">เพียงประการเดียว </span><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span style="background-color: lime;"><span lang="TH" style="line-height: 115%;">ตราบใด ถ้าคนไทยส่วนมาก
ยังอยากให้พระภิกษุในศาสนาพุทธเป็นไป เพื่อ</span><span style="line-height: 115%;"> "<span lang="TH">สังคม" </span> <span lang="TH">เราจะไม่มีวันทำให้ศาสนาพุทธในเมืองไทย</span> <span lang="TH">เป็น "ศาสนา" ที่แท้ หรือ
มี “พระ” ที่แท้ ตามพระพุทธองค์อย่างที่เรียกร้องได้เลย</span> <span class="textexposedshow"><span lang="TH">เพราะศาสนาพุทธที่แท้ เป็นศาสนาเพื่อ
"ปัจเจกชน" ไม่ใช่เพื่อ "สังคม" แต่อย่างใด แต่เมื่อปัจเจกชนได้ผลดี
ก็ส่งผลให้สังคมได้ประโยชน์ตามไปด้วย</span></span></span></span><b><span style="line-height: 115%;"><o:p></o:p></span></b></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span class="textexposedshow"><span lang="TH" style="background-color: yellow; line-height: 115%;">จึงต้องถามว่า คนไทย
โดยเฉพาะคนที่วิจารณ์พระภิกษุในขณะนี้
เราต้องการให้พระสงฆ์อยู่เพื่อช่วย "สังคม" หรือจะให้พระท่านเป็น "ปัจเจกชน" ทำตามพระธรรมวินัยของพุทธองค์กันแน่ครับ</span></span><b><span style="line-height: 115%;"><o:p></o:p></span></b></span></div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt; text-align: center;">
<b><span style="font-family: inherit; line-height: 115%;">……………<o:p></o:p></span></b></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><b><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">๒</span></b><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">...<o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">ถ้าเราเอาแนวทางพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติจริงๆ
ผู้ที่หวังดีอยากให้พระภิกษุสามเณรมีจริยาวัตร
และอาจาระที่ดีขึ้น โดยอยากให้
"มหาเถรสมาคมควรสังคายนาครั้งใหญ่" แค่คิดก็ผิดแล้วครับ</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"> <span lang="TH">ยิ่งถ้าเป็นพระภิกษุพูดก็ยิ่งผิดพระธรรมวินัยแล้ว</span><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span class="textexposedshow"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">เพราะสังคายนาเป็นเรื่องของพระภิกษุสงฆ์ ที่จะทำต่อเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง หรือมีใครปลอมแปลงคำสอนจากพระพุทธองค์ที่ตรัสสอนไว้ ส่วนมหาเถรสมาคม</span></span><span class="textexposedshow"><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"> <span lang="TH">เป็นเรื่องของพระมหากษัตริย์ หรือรัฐบาล เป็นคนคิดเพื่อปกครองพระ </span><o:p></o:p></span></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span class="textexposedshow"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">สมัยสุโขทัย
หรือกรุงศรีอยุธยา
ในประวัติศาสตร์ไม่มีหลักฐานที่ชี้ชัดที่ใดว่า กษัตริย์ปกครองพระภิกษุ มีแต่ส่งเสริมยกย่องพระภิกษุที่ประพฤติปฏิบัติดี หรือมีความสามารถด้านใดด้านหนึ่ง โดยคิดคำยกย่องเป็นพิเศษเท่านั้น แถมมีนัยยะว่าถ้าออกบวชแล้ว สามารถคุ้มครองภัยอันตรายไม่ให้ใครมารังแก หรือ
ทางบ้านเมืองยกโทษที่มีอยู่ให้ทุกประการ</span></span><span class="textexposedshow"><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span class="textexposedshow"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">แต่ในสมัยรัตนโกสินทร์
มีหลักฐานชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์ทรงปกครอง และควบคุมพระภิกษุโดยตรง
ซึ่งมีข้าราชบริพาร
ทำงานในตำแหน่งสังฆการีคอยสนองงาน ต่อมาสมัยรัชกาลที่
๕ ทรงคิดรูปแบบการปกครองพระ รศ. ๑๒๑ ให้มีมหาเถรสมาคม เป็นลักษณะสภาที่ปรึกษาของพระองค์เกี่ยวกับกิจการศาสนา
และบ้านเมือง แต่พระองค์ท่านก็บริหารปกครองพระโดยตรง</span></span><span class="textexposedshow"><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span class="textexposedshow"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">ในสมัยรัชกาลที่
๖ ทรงอนุญาตให้พระธรรมยุตินิกายปกครองกันเอง แต่คณะสงฆ์เดิมยังขึ้นอยู่กับกรมสังฆการี
ต่อมาทางคณะสงฆ์นี้ ขอไปขึ้นกับธรรมยุติดีกว่าให้ฆราวาสมาเป็นผู้บังคับบัญชาพระ</span></span><span class="textexposedshow"><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span class="textexposedshow"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">ในยุค พ.ศ.
๒๔๘๔ รัฐบาลในยุคนั้น ออก พรบ. ให้พระมีรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยมีการเลือกตั้ง
มีการแบ่งอำนาจ ๓ ฝ่าย มีฝ่ายบริหาร ตุลาการ และ สภาสงฆ์ โดยมีสังฆมนตรี และสังฆนายกเป็นผู้บริหาร</span></span><span class="textexposedshow"><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span class="textexposedshow"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">ต่อมาในสมัย ๒๕๐๕
จอมพลสฤษดิ์ ประกาศ พรบ.สงฆ์ใหม่ ให้กลับไปใช้ในรูปแบบเดิมสมัยรัชกาลที่ ๕ คือ
มหาเถรสมาคม แต่ให้พระปกครอง</span></span><span class="textexposedshow"><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"> <span lang="TH">ยกเว้นตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ที่แล้วแต่พระราชอัธยาศัยจะทรงแต่งตั้งพระภิกษุที่เป็นสมเด็จพระราชาคณะรูปใดก็ได้</span><o:p></o:p></span></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span class="textexposedshow"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">หลังยุค ๒๕๑๘ รัฐบาลทุกรัฐบาล
ต่างแสดงทางพฤตินัยให้การปกครองของพระ เป็นของสงฆ์โดยตรง รัฐบาลเป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกให้
คล้ายการบริหารในรูปแบบคณะกรรมการ</span></span><span class="textexposedshow"><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">
(<span lang="TH">บอร์ด) โดยมีข้าราชการกรมการศาสนา
เป็นเลขาธิการของคณะสงฆ์ เพื่อให้สอดคล้องกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย</span><o:p></o:p></span></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span class="textexposedshow"><span lang="TH" style="background-color: yellow;">จะเห็นได้ว่า ทุกสิ่งที่เกิดกับพระภิกษุทุกวันนี้
ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง สมณศักดิ์ เงินเดือน(นิตยภัตร)
เป็นเรื่องของ </span></span><span class="textexposedshow"><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><span style="background-color: yellow;">“<span lang="TH">คน</span>” <span lang="TH">ผู้มีอำนาจคิดขึ้น ไม่ใช่</span>
“<span lang="TH">พระภิกษุ</span>” </span><span lang="TH"><span style="background-color: yellow;">สร้างขึ้น</span> โดยอาจจะมีจุดประสงค์ส่งเสริมยกย่องพระภิกษุที่ทำคุณงามความดีต่อสังคม
หรือ อาจจะเอาไว้ควบคุมพระภิกษุ ซึ่งเป็น </span>“<span lang="TH">หน่วย</span>” <span lang="TH">หนึ่งของสังคมไทย หรือ อาจจะมีไว้เพื่อปกป้องคุ้มครองพระภิกษุสงฆ์ก็ได้</span></span></span><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"> ก็แล้วแต่จะคิด</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">ดังนั้น
ถ้าใครคิดว่ามหาเถรสมาคมไม่ดี ไม่จำเป็น ทำให้พระหลงใหล มัวเมาในตำแหน่ง ยศศักดิ์
หรือทำให้พระไม่เป็นพระ ก็ควรยุบไปสิครับ ไม่จำเป็นต้องสังคายนาแต่อย่างใด เพราะมหาเถรสมาคม และสมณศักดิ์ กษัตริย์เป็นผู้คิดขึ้นมา และจอมพลสฤษดิ์เป็นคนนำมาใช้ใหม่ </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">แถมการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ก่อน ๒๕๐๕
เดิมแล้วแต่พระราชอัธยาศัย ต่อมาให้แต่งตั้งจากสมเด็จที่มีพรรษาสูงสุด ก็เกิดปัญหาที่อยากแต่งตั้งสมเด็จพระญาณสังวร
เป็นสมเด็จพระสังฆราช แต่มีสมเด็จที่มีพรรรษสูงกว่า ๒ รูป (แต่ดีที่ท่านทั้ง ๒ ขอสละสิทธิ์) จึงเกิดการแก้ไขใหม่โดยรัฐบาลยุคนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะคิดเอาเองว่าพระสมเด็จทางมหานิกายคงไม่มีคุณธรรมดีพอ อาจเสียชีวิตก่อนสมเด็จพระทางธรรมยุติ (ไม่งั้นคงไม่มีผู้ดูถูก เรียกพระสมเด็จทางมหานิกาย เป็นพระขี้เรื้อนหรอก) ให้แต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช จากสมเด็จพระราชาคณะที่มีสมณศักดิ์สูงสุดก่อนรูปใด </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="background-color: yellow;">ทั้งหมดนี้
พระไม่ได้เรียกร้อง
หรือเป็นผู้กำหนดกติกาให้มีแต่ประการใดเลย
ท่านบอกแต่เพียงว่า ถ้ายังมีกฎหมายนี้อยู่
ก็ขอให้เป็นไปตามกฏหมายที่พวกคุณเขียนไว้สิ </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">แต่วันนี้อยากให้พระที่ถูกใจ เป็นสมเด็จพระสังฆราช จะแก้กฎใหม่
ก็น่าเกลียด เพราะแก้มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ครั้งนี้
จึงใช้วิธีการจับผิด แล้วโหมประโคมข่าวให้ร้ายป้ายสี เพื่อให้สมเด็จที่มีสมณศักดิ์สูงสุดมีมลทิน จะได้เป็นข้ออ้างในการไม่แต่งตั้ง </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">....</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">สรุป </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">: <span lang="TH">ใครคือคนที่สร้างปัญหาให้เกิดขึ้น พระภิกษุ
หรือ คนที่อยากได้พระถูกใจ ????</span><o:p></o:p></span></span></div>
<div align="center" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt; text-align: center;">
<span style="font-family: inherit; font-size: 16.0pt;">……..<o:p></o:p></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><b><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">๓</span></b><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">...<o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">การกล่าวหาตำหนิพระภิกษุทุกวันนี้ เรื่องสมณศักดิ์ มักถูกวิจารณ์มากเป็นอันดับต้นๆ ว่า พระภิกษุหลงตำแหน่ง
วิ่งเต้นอยากเป็นพระครู เจ้าคุณ ซึ่งก็มีส่วนหนึ่งที่เป็นจริงอย่างที่ผู้คนกล่าวหา
เพราะลูกชาวบ้านธรรมดา หรือบางทีลูกชาวนายากจน เมื่อบวชเรียนเข้ามาแล้ว และได้รับการยกย่องให้มีอะไรๆพิเศษกว่าชาวบ้าน
ยิ่งได้รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ที่คนศรัทธา ก็เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เป็นที่ปลาบปลื้มใจทั้งตัวเอง
และชาวบ้านที่นับถือ มันก็น<span class="textexposedshow">่าหลง น่าปลื้มใจไม่ใช่หรือครับ </span></span><span class="textexposedshow"><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">?
<o:p></o:p></span></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span class="textexposedshow"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">แต่..คนที่วิจารณ์ส่วนหนึ่งไม่รู้ว่า
การจะได้เป็นพระครู เจ้าคุณในเมืองไทยนั้น จะต้องพัฒนาอะไรบ้าง คิดเป็นตัวเงินเท่าไหร่ ตามกฎเกณฑ์</span></span><span class="textexposedshow"><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">
(<span lang="TH">ซึ่งก็คนมีอำนาจของบ้านเมืองกำหนดขึ้น) เช่น สร้างศาลาได้พระครูชั้นประทวน
สร้างโบสถ์ได้พระครูชั้นโท </span> <span lang="TH">เพราะฉะนั้นกฎเกณฑ์นี้จึงกระทบกับชาวบ้านทั่วไปโดยปริยาย เมื่อชาวบ้านอยากให้หลวงพ่อตัวเองเป็นพระครูบ้าง เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่า
จึงเรียกร้องจากพระให้หาทางสร้างโน่นสร้างนี่ พระภิกษุจึงต้องขยันหาเงิน ทั้งบอกบุญ เรี่ยไร
หรือไม่ก็สร้างวัตถุมงคลจำหน่าย</span> <span lang="TH">จนผู้คนส่วนหนึ่งเบื่อระอากับการเรี่ยไร
</span> <span lang="TH">แต่ทำอย่างไรได้ล่ะ
</span> <span lang="TH">ก็ในเมื่อกฎเกณฑ์ที่ทางราชการตั้งไว้เป็นอย่างนี้นี่นา
</span><o:p></o:p></span></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span class="textexposedshow"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">ถ้าพูดแง่ลบ อีกแง่หนึ่ง เอาตำแหน่งพระครู
เจ้าคุณ ซึ่งมีตาลปัตรพัดยศแหลมๆ ๑ ด้าม
กระดาษอีก ๑ แผ่น สามารถหลอกใช้พระภิกษุพัฒนาถนนหนทาง สร้างอาคารสถานที่ต่างๆ ทั้งในวัด นอกวัด เช่น
โรงพยาบาล โรงเรียน ฯลฯ แถมได้สั่งสอนอบรมชาวบ้าน นักเรียน นักศึกษา เป็นคนดี มีศีลธรรมเสมอ
หลายวัดทำเป็นค่าย มีโปรแกรมอบรมเป็นกิจจะลักษณะ รวมทั้งยังเป็นที่พึ่งของชาวบ้านยามยากอีก
เช่น เป็นหมอรักษาโรค หมอดู หมอน้ำมนต์ ฯลฯ </span></span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span class="textexposedshow"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">จะเห็นว่าพระภิกษุท่านทำประโยชน์คุ้มกว่าข้าราชการที่กินเงินเดือนของประเทศอีก
</span></span><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"> ประเทศและสังคมไทยที่ผ่านมาได้คุ้มเกินคุ้ม </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"> <span lang="TH">สังคมไทยเราได้จากพระมากมาย มากกว่าพระได้จากสังคมนะครับ ยังไม่พอใจอีกหรือครับ </span><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="background-color: yellow;">อยากปกครองพระ
ควบคุมพระ หลอกใช้พระ เอายศ
เอาตำแหน่งมาหลอกล่อ วันหนึ่งพอท่านหลงใหลไปบ้าง
ก็กล่าวหาท่าน</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><span style="background-color: yellow;"> <span lang="TH">ว่าท่าน </span></span></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit; font-size: 16.0pt;"><span style="background-color: yellow;"><span lang="TH">ใครกันแน่ที่ดึงพระภิกษุ ออกไปยุ่งกับสังคมมากเกินไป
</span>??? </span><o:p></o:p></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">ถ้าผู้คนหรือผู้มีอำนาจเห็นว่า พระปกครองกันเองไม่ดี
ไม่อยากให้พระท่านมายุ่งกับสังคมอีก ก็แค่ประกาศยกเลิก ประกาศห้าม
ก็จบแล้วครับ ใช้ มาตรา ๔๔ ก็ได้ ไม่เห็นต้องสังคายนา หรือปล่อยให้คนไม่กี่คนมาจาบจ้วงทำร้ายพระพุทธศาสนาอย่างนี้เลย</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">เพียงแต่ว่า เมื่อประกาศยกเลิก ไม่ให้พระบริหารกันเอง
จะกลับไปให้ชาวบ้านมาปกครองพระแบบเดิม หรือว่า
จะยกให้ท่านดำเนินชีวิตตามพระธรรมวินัยอย่างเดียว</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"> <span lang="TH">ต้องประกาศให้ชัดครับ</span><o:p></o:p></span></span></div>
<div align="center" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt; text-align: center;">
<span style="font-family: inherit; font-size: 16.0pt;">…………..<o:p></o:p></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><b><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">๔</span></b><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">...<o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span style="background-color: cyan;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">เรื่องที่พระภิกษุถูกสังค</span><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">มวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดตอนนี้ คือ</span></span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;"><span style="background-color: cyan;"> “...<span lang="TH">กิริยามารยาทไม่สำรวม ล่วงละเมิดพระวินัยเป็นอาจิณ ชอบสะสมเงินทอง ทำตัวเหมือนฆราวาสทุกประการ...</span>” </span> ซึ่</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">งที่ประชาชนวิจารณ์มาก็ถูกทุกประการ
เพราะพระภิกษุส่วนหนึ่งเป็นอย่างนั้นจริงๆ และแถมเจ้ากูยังเอารูปที่ไม่ดีมาแชร์ มาโพสต์ในโลกออนไลน์เพื่ออวดกัน
จึงทำให้ประชาชนอิดหนาระอาใจ จึงพาลเบื่อศาสนาพุทธไปแล้วก็หลายคน</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">จึงน่าฉุกใจคิดว่า ทำไมคนที่เข้ามาบวชเรียนในพระพุทธศาสนา ซึ่งถือว่าเป็นศาสนาแห่งสติและปัญญา
ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาชีวิตอย่างแท้จริง จึงกลายเป็นบุคคลที่ทำตัวเละเทะ
น่าสะอิดสะเอียนต่อความประพฤติของผู้ที่พบเห็น ทั้งๆที่สังคมไทยให้การเคารพกราบไหว้สูงสุดต่อพระภิกษุสามเณร
แม้พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเลี้ยงดู ปกติลูกต้องไหว้พ่อแม่ แต่เมื่อลูกบวชห่มผ้าเหลืองแล้ว
ท่านยังคุกเข่ากราบไหว้ลูกทันที</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">ทำไม พระภิกษุสามเณรบางรูปจึง </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">“<span lang="TH">ทรยศ</span>” <span lang="TH">หรือ </span>“<span lang="TH">เนรคุณ</span>” <span lang="TH">ต่อศรัทธา และการอุปถัมภ์ของคนไทยล่ะ ถ้าถามแบบนี้ก็ต้องตอบว่า</span> “<span lang="TH">เป็นเพราะมีคนไม่ดี เข้ามาบวชอาศัยผ้าเหลืองหากินเลี้ยงชีวิตตัวเองมากขึ้น</span>”
<span lang="TH">แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาผมตะหนักว่า ผู้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ครั้งแรกมักมีเจตนาดี
ตั้งใจบวชเรียน และฝึกปฏิบัติตัวเองจริงๆ </span><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">แต่เพราะเหตุใด จึงกลายเป็นพระภิกษุสามเณรที่มีความประพฤติเหลวไหล
ไร้ยางอาย ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ล่ะ </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">จากการวิเคราะห์หาสาเหตุของผม </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"> <span lang="TH">ทำให้เชื่อว่า เพราะสาเหตุใหญ่ๆ ๓
ประการ คือ</span> </span></span><br />
<span style="font-family: inherit;"><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">
.....</span></span><br />
<span style="font-family: inherit;"><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><b><span lang="TH">ประการที่ ๑</span></b><span lang="TH"> ยุคนี้บวชง่ายเกินไป
ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร บางทีท่องขานนาคก็ยังไม่ได้
อุปัชฌาย์ก็บวชให้เพราะเกรงใจ พ่อแม่ หรือผู้ปกครองของนาคนั้นๆ
<span style="background-color: cyan;">แถมเมื่อบวชเข้ามาแล้ว </span></span><b style="background-color: cyan;">“...<span lang="TH">ไม่มีใครอบรมสั่งสอน กำกับ ติดตาม กวดขัน เอาใจใส่ดูแลความประพฤติให้ดี...</span>”</b>
<span lang="TH"> การบวชจึงเหมือนกับการมาพักผ่อน แค่เปลี่ยนสถานที่เท่านั้น ชั่วระยะหนึ่ง แต่ฝ่ายพระก็อ้างว่า ส่วนมากคนสมัยนี้</span> <span lang="TH">เขาอยากบวชระยะสั้น ๗ วัน ๑๕
วัน จึงไม่ได้ทันสอนอะไรให้</span></span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><b>.</b></span></span><br />
<br />
<br />
<span style="font-family: inherit; font-size: 16.0pt;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">ที่จริงก็คือ ข้ออ้าง ข้อแก้ตัว ของฝ่ายพระ</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"> (<span lang="TH">อุปัชฌาย์เป็ด </span>– <span lang="TH">อาจารย์เป็ด)
เพราะถ้าจะอบรมกันจริง เหมือนเข้าคอร์สอบรมของสำนักปฏิบัติธรรมที่มีประสิทธิภาพต่างๆ
แค่ ๓ วันก็ได้ผลแล้ว </span> <span lang="TH">หรือจะเอาแบบเคร่งครัดที่สุด แบบสำนักของท่านโกเอนก้า ๑๐ วัน</span> <span lang="TH">ก็เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและจิตใจได้อย่างมากมาย</span><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">เมื่อทั้งอุปัชฌาย์ หรืออาจารย์วัด รวมเจ้าคณะต่างๆ
ปล่อยปละละเลย ไม่เอาใจใส่กวดขัน ดังนั้น พระภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ก็ทำตามความเคยชินของตัวเองในสมัยที่เป็นชาวบ้าน
เพราะท่านเองก็ไม่รู้ว่าที่ทำไปนั้น ผิดหรือถูกเหมือนกัน</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"> <span lang="TH">เนื่องจากไม่มีใครทักท้วง ท่านจึงทำตัวผิดพระธรรมวินัย เป็นอาจิณ ทำให้ผู้พบเห็นหมดความเลื่อมใสศรัทธา
ทั้งต่อพระภิกษุ และพระพุทธศาสนาไปด้วย</span><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">เหมือนในสังคมไทยทุกวันนี้ ไม่มีใครกล้าบอกเด็กๆ ว่าอะไรถูกอะไรผิด
เพราะถือว่า</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"> “<span lang="TH">อย่าเอาไม้ไปรันขี้ และ ธุระไม่ใช่</span>”<span lang="TH"> แต่เวลาเด็กทำผิดพลาดขึ้นมา กลับด่าว่าเด็กเป็นคนไม่ดี เลว ชั่ว
</span><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">ก็ขอย้อนว่า..แล้วใครสร้างเด็กขึ้นมาแบบนี้ล่ะ ไม่ใช่ผู้ใหญ่แบบพวกเราหรือ ? </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span style="background-color: #fce5cd;"><b><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">สรุป</span></b><b><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"> : <span lang="TH">ประการที่ ๑</span></span></b><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">
ถือเป็นความผิดของอุปัชฌาย์
เจ้าอาวาส อาจารย์วัด และจ้าคณะทุกระดับ ที่ไม่รับผิดชอบเอาใจใส่ อบรม และกวดขันพระภิกษุสามเณร ผู้เข้ามาบวชให้ดีพอ</span></span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<b><span style="font-family: inherit; font-size: 16.0pt;">…<o:p></o:p></span></b></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><b><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">ประการที่ ๒</span></b><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"> บรรพบุรุษของสังคมไทยในอดีต ไม่ได้ตั้งใจให้วัด และพระแค่ออกบวชไป
“พระนิพพาน” อย่างเดียว
แต่มีจุดประสงค์ต้องการให้ “พระ” เป็นครู
เป็นหมอ เป็นที่พึ่ง เป็นผู้นำของชุมชน ถ้าพูดแบบวิชาการสมัยใหม่ คือ ต้องการให้พระภิกษุเป็น “สถาบัน” ทางสังคม</span><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif";"> </span><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"> (</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">Social institute<span lang="TH">) ช่วยเหลือคนทุกระดับ ทุกรูปแบบ
เนื่องจากบรรพบุรุษของเราเห็นว่า “สังคม”
มีคนหลายระดับ
ผู้คนมีสติปัญญาไม่เท่ากัน
ถ้าได้พระมาเป็นผู้นำในการทำกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน
ก็ยังดีกว่าให้คนในสังคมอยู่กันแบบไม่มีทิศทาง หรือได้คนที่ไม่ดี มุ่งแต่ประโยชน์ หลอกลวงหาเงินทองมาเป็นผู้นำ </span><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><span data-redactor-style="background-color: #ffff00;" data-redactor-tag="span" data-verified="redactor" style="background-color: yellow; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 22.4px; outline: none;">เมื่อต้องการให้พระทำเพื่อ "สังคม" ก็ต้องยกให้ศาสนาเป็น "สถาบัน" เมื่อเป็นสถาบันก็ต้องทำเพื่อคนทุกระดับ ทุกความแตกต่าง จะไปเลือกกลุ่มคน หรือ คนใดคนหนึ่งไม่ได้ เข้าทำนอง Institute for</span><span data-redactor-style="background-color: #ffff00;" data-redactor-tag="span" data-verified="redactor" style="background-color: yellow; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 22.4px; outline: none;"> all นี่แหละคือต้นเหตุที่ทำให้ พระภิกษุเสื่อมจากพระธรรมวินัย</span><span data-redactor-style="background-color: #ffff00;" data-redactor-tag="span" data-verified="redactor" style="background-color: yellow; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 22.4px; outline: none;"> </span><span data-redactor-style="background-color: #ffff00;" data-redactor-tag="span" data-verified="redactor" style="background-color: yellow; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 22.4px; outline: none;"> </span></span><span style="background-color: lime;"><span lang="TH" style="font-family: "cordia new" , sans-serif;">เ</span><span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif;">หมือนกับวงการศึกษา ถ้าการจัดการศึกษาเพื่อคนตามที่ต้องการ ก็ไม่มีอะไร
มีแต่ผลดี แต่วันนี้การศึกษา
เขาต้องการให้เป็นไปเพื่อคนทั้งปวง (</span><span style="font-family: 'Times New Roman', serif;">Education for all</span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif;">) การศึกษาจึงเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย</span></span></span></span><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">แต่..แม้ว่า</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">พระภิกษุส่วนใหญ่ จะทำกิจนอกเหนือจากการบวชเรียน
หรือฝึกปฏิบัติ </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">ที่เราเรียกว่า</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;"> </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">“กิจของสงฆ์” ทำให้ย่อหย่อนไม่ทำตามพระธรรมวินัยไปบ้างก็ตาม</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;"> </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;"> </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;"> </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">“สังคม” ก็ไม่ว่าอะไร</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;"> </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">เพราะเชื่อว่าท่านทำด้วยเมตตา</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;"> </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">และยังสอนให้คนตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;"> </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">เชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;"> </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">และกฎแห่งกรรม</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">
</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">(เรียกทันสมัยว่า สอนตามความแตกต่างระหว่างบุคคล</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;"> </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">เช่น</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">
</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">ตามจริต</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;"> </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">ตามอัธยาศัย</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;"> </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">ตามบุคคล</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">
</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">ตามวาสนา</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;"> </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">ตากวิบากกรรม) </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;"> </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;">ก็ยังดีกว่าไปนับถือภูตผีปีศาจ หรือสิ่งอื่นๆ
เป็นที่พึ่งอีก</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , sans-serif; font-size: 16pt;"> </span></span></div>
</div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="background-color: lime;">ขนาดหลวงปู่มั่น ที่ผู้คน (รวมทั้งพวกดราม่าดัดจริต)
นับถือว่าเป็นพระอริยะ ยังให้พระอาจารย์เนียมไปสอนการเพาะปลูกให้ชาวบ้าน
รักษาโรคให้ชาวบ้าน
ระหว่างไปจำพรรษาอยู่กับชาวเขาทางภาคเหนือ หรือทางภาคอีสาน ท่านบอกว่า
ถ้าชาวบ้านยังท้องไม่อิ่ม
ยังสอนศีลธรรมไม่ได้หรอก </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">พระภิกษุเมืองไทยในอดีตจึงมีหลายรูปแบบ ทั้ง พระบวชเรียน พระสอนหนังสือ
พระพัฒนา พระก่อสร้าง พระหมอดู
พระหมอยา พระเกจิของขลัง พระเวทย์มนต์คาถาอาคม พระปกครอง พระศิลปิน (ตัวอย่าง
ขรัวอินโข่ง)
พระสอนวิชาสู้รบศึกสงคราม(วัดพุทไธสวรรค์)
เป็นต้น </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"> <span lang="TH">ซึ่งพระภิกษุแบบนี้ ถ้าเอาพระธรรมวินัยมาตัดสิน ก็อาบัติทุกองค์นั่นแหละ <o:p></o:p></span></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span lang="TH" style="font-family: inherit; font-size: 16.0pt;">เมื่อพระภิกษุไปทำกิจเหล่านี้ ตามความต้องการของสังคม จึงทำให้ต้องย่อหย่อนพระธรรมวินัย และไม่มุ่งไปนิพพาน มุ่งแต่จะอนุเคราะห์ สงเคราะห์
ประชาชนด้วยความเมตตา ห่วงใย พระภิกษุหลายองค์จึงตั้งใจบำเพ็ญ เสียสละอุทิศตน ปรารถนาเป็น
“พระโพธิสัตว์” เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้เขาพ้นเคราะห์ภัย และมี “หลัก” หรือมี “สติปัญญา”
ในการดำเนินชีวิตระดับหนึ่งก่อน
ยังไม่ไปนิพพานโดยตรงและโดยเร็ว เช่น หลวงปู่ทวด สมเด็จโต
แม้พระมหากษัตริย์ไทยในอดีต
และปัจจุบัน ต่างก็ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ ที่ชัดที่สุด ก็คือ พระเจ้ากรุงธนบุรี
รัชกาลที่ ๑, ๓, ๔, ๕ และองค์ปัจจุบัน
(แถมมีคนแถวๆ วัดอ้อน้อย ก็ยังอ้างประกาศตนเป็นเหมือนกัน)
<o:p></o:p></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">แต่ในยุคนี้
กิจเหล่านี้ส่วนใหญ่ทางราชการได้ทำเองจนเกือบหมดสิ้น แต่ยังเหลือพระทางหมอดู หมอยา พระพัฒนา พระเกจิของขลังอยู่บ้าง เพราะชุมชนบางชุมชนต้องการอยู่ ซึ่งก็ทำให้ผู้คนในเมืองที่รู้หนังสือมากขึ้น รู้สึกไม่ค่อยพอใจที่พระภิกษุไม่บวชเรียนทำตามพระธรรมวินัย ซึ่งเขาไม่ต้องการพระแบบเดิม
เพราะเขาได้รับบริการที่ดีจากทางราชการแล้ว เขาต้องการพระภิกษุที่ดีไว้กราบไหว้เป็นที่พึงที่เหนี่ยวทางจิตใจเท่านั้น เขาจึงผิดหวังที่พระภิกษุไทยส่วนหนึ่ง ไม่ทำตัวให้เขากราบไหว้ได้สนิทใจ เขาจึงไม่เลื่อมใส หมดศรัทธาพระทั่วไปลง แต่พวกเขาก็ยังมีเจตนาดีรักพุทธศาสนา จึงเรียกร้องให้มีการชำระ
หรือสังคายนาความประพฤติพระเสียใหม่ให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="background-color: yellow; font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">ถ้าคิดแง่ดี
เขามีกุศลจิตจริง อยากเห็นสิ่งๆดีเกิดขึ้นในเมืองไทย</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span lang="TH" style="font-family: inherit; font-size: 16.0pt;"><span style="background-color: yellow;">แต่ถ้าคิดในแง่ “พุทธ” เขา “ไร้สติปัญญา ใจไม่กว้างพอ”
ต่อคนทุกระดับใน “สังคม” เมืองไทย</span><o:p></o:p></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">...</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><b><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">ประการที่ ๓</span></b><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"> <span style="background-color: lime;">สาเหตุที่พระภิกษุสามเณรไม่ดี มาจากความต้องการของ “คน” ที่หวังพึ่งพิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ </span> เช่น ตามหลักจิตวิทยาของ </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">Maslow <span lang="TH"> กล่าวว่า มนุษย์ทุกคนต้องการความอยู่รอดปลอดภัย มีชีวิตที่ดี
มีชีวิตที่มั่นคง
มีความรักและได้รับความรัก
และต้องการการยอมรับจากสังคมด้วยกันทั้งนั้น </span><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">ดังนั้น
อะไรก็ได้ที่ทำให้มนุษย์อยู่รอดปลอดภัย
มีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย
ไม่เจ็บป่วย มีฐานะมั่นคง เจริญด้วยทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง เขาจะดิ้นรนแสวงหามาให้ได้ แต่ถ้าไม่ได้
เขาก็จะหวังทางลัด
หาสิ่งที่จะบันดาลให้ตัวเองได้มา
ซึ่งสมัยนี้เราเรียกว่าสิ่งนั้นว่า
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์
ผู้วิเศษ ฯลฯ</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span lang="TH" style="font-family: inherit; font-size: 16.0pt;">สรุปกันง่ายๆ
<span style="background-color: yellow;">ผู้คนในโลกนี้ร้อยละ ๙๗
มักหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ขอให้บันดาลทุกสิ่งที่ตนเองอยากได้
สมความปรารถนา </span> แม้กระทั่งผู้คนในเมืองไทยที่นับถือศาสนาพุทธ
ศาสนาที่สอนให้เชื่อว่าไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะบันดาลให้ นอกจากการกระทำของตัวเอง หรือ ให้เชื่อเรื่องกรรม ก็เห็นวิ่งไปกราบไหว้ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป พระเกจิ พระอรหันต์
เทพเจ้า ภูตผีปีศาจ ต้นไม้ ภูเขา จอมปลวก สัตว์เดรัจฉาน
ฯลฯ ถ้ามีข่าวว่าศักดิ์สิทธิ์จริง
ให้หวยได้ ให้โชคได้ ก็เห็นแห่แหนไปกราบไหว้</span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">แม้กระทั่งผู้ที่อยากชำระพระศาสนา อยากปรับปรุงความประพฤติของพระเณรไทย เช่น
นายสุวิทย์ ที่ตั้งตนเป็น พุทธอิสระ
และผู้ที่เลื่อมใสนับถือนายสุวิทย์
ก็ไม่ใช่เพราะเชื่อว่า
นายสุวิทย์ มีความศักดิ์สิทธิ์
มีพลังจิต มีญาณวิเศษ
ทำนายทายทักได้แม่นยำไม่ใช่หรือ
และยิ่งไปกว่านั้นที่สำนักของนายสุวิทย์
ก็มีการปลุกเสกเครื่องรางของขลัง
บูชาเทพเจ้า
เอาเลือดแช่น้ำมนต์
ไปทำพิธีปลุกเสกแช่ตัวในกระทะน้ำมนต์ แบบไสยศาสตร์ ที่เป็นเดียรฉานวิชา ไม่ใช่หรือ</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">
<o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="background-color: #ffd966;">แล้วนี่ใช่พุทธศาสนาที่แท้ไหม ?</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><span style="background-color: #ffd966;"> </span><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">เมื่อผู้คนจำนวนมากชอบแต่เรื่องศักดิ์สิทธิ์ และผมก็เชื่อว่าไม่มีใครในโลกนี้ทำให้หมดสิ้นไปได้จากโลกนี้
ทำให้ชาวบ้านบางส่วนไปคาดคั้นจากพระภิกษุสามเณรให้ฝึกหัดเป็นผู้วิเศษ ผู้ศักดิ์สิทธิ์บ้าง จะได้เป็นที่พึ่งของชีวิต
พระภิกษุสามเณรบางส่วนจึงอนุโลมตามความต้องการของชาวบ้าน
เพราะอยากตอบแทนการให้ข้าวปลาอาหารที่ชาวบ้านเลี้ยงดู </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span lang="TH" style="font-family: inherit; font-size: 16.0pt;">เช่น ตัวผมเอง
สมัยผมบวชก็ยังถูกขาวบ้านจำนวนหนึ่งมาให้ขอให้ทำนายทายทักชะตาชีวิตทุกวัน จนใจอ่อนเพราะอยากช่วยชาวบ้านบ้าง ตอบแทนคุณชาวบ้านบ้าง ต้องศึกษาเล่าเรียนตำราหมอดูมาช่วยทำนายทายทักให้ผู้คนต่างๆ ซึ่งก็เป็นที่พอใจของฝ่ายเรียกร้องเสมอ ต่อมาชาวบ้านเรียกร้องมากขึ้น ถึงขั้นให้ช่วยแก้ไขสิ่งเสียๆ ร้ายๆ
ในชีวิตชาวบ้านออกไป
ตอนแรกก็ทำใจไม่ได้
เพราะคิดว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์
แต่สุดท้ายก็อดใจอ่อนต้องไปดูฮวงจุ้ย
ดูบ้านดูช่องให้ชาวบ้าน
แถมแก้ไขให้เขาอีก ทั้งๆที่เรียนมาทางด้านจิตวิทยา พยายามอุตส่าห์แนะนำการแก้ไขปัญหาชีวิตแบบจิตวิทยา ชาวบ้านก็ไม่สนใจมากเท่ากับเชื่อว่า ผมเป็นหมอดูที่เก่ง <o:p></o:p></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">สุดท้ายก็เบื่อ
เพราะ “คน” มีความต้องการที่ไม่รู้จักสิ้นสุด ชาวบ้านก็มารบกวนทุกวัน มีแต่เรื่องเดิมๆ นานวันจึงเกิดการเรียนรู้ว่า ชาวบ้านเขาอยากแค่ให้ชีวิตเขาสุขสบาย ร่ำรวยขึ้น
มียศศักดิ์สูงขึ้น
เราไปช่วยให้เขาหลงอัตตามากขึ้น
ไม่ได้ช่วยให้เขาเบื่อโลก เบื่อชีวิตตามหลักศาสนาพุทธเลย แต่เพราะสงสารอดใจอ่อนช่วยเหลือชาวบ้านไม่ได้ จึงทำลงไป
</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">นี่คือเหตุหนึ่งที่พระภิกษุสามเณรต้องหลงทางไปในทางนอกพุทธศาสนามากขึ้น เพราะเมื่อชาวบ้านนับถือ ว่าพระภิกษุองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์ ขลัง เป็นผู้วิเศษ
ก็มักถวายเอกลาภมากมาย สักการะและคำสรรเสริญเยินยอ จึงทำลายพระภิกษุสามเณรที่ดีไปในที่สุด </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"> <o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">ขนาดคนที่คิดว่าตัวเองชนชั้นสูง ยังไปหาพระภิกษุที่เชื่อว่าเป็นผู้วิเศษ ศักดิ์สิทธิ์ ขลัง ช่วยปัดเป่าเคราะห์หามยามร้าย ให้พ้นภัยอันตรายไม่ใช่หรือ ไม่เชื่อก็ลองไปเรียนถามท่านเจ้าคุณธงชัย วัดไตรมิตร
ท่านเจ้าคุณพระพรหมวชิรญาณ วัดยานนาวา
ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อเณร
วัดศรีสุดา ฯลฯ ว่าเป็นจริงอย่างนี้หรือเปล่า แล้วนั่นใช่การทำตามพระธรรมวินัย
หรือส่งเสริมพระที่ดีของศาสนาพุทธหรือเปล่า</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span lang="TH" style="font-family: inherit; font-size: 16.0pt;">และเหตุนี้
จึงทำให้พระภิกษุที่ยังไม่หนักแน่นในพุทธศาสนา หรือไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาทางละคลายอัตตา เมื่ออยากหาทุนทรัพย์มาสร้างวัด
หรือซ่อมแซมวัดวาอารามที่ตนเองอยู่
จึงตั้งตนเป็นผู้วิเศษ
ผู้ศักดิ์สิทธิ์
เพราะเส้นทางสายนี้
หาเงินง่าย เนื่องจากผู้คนส่วนมากพร้อมที่จะเชื่อ เพราะอยากรวยทางลัด อยากสุขสบายง่ายๆ อยู่แล้ว และจึงมีผลให้ผู้คนส่วนหนึ่งแอบอ้าง (บวช) เป็นพระภิกษุสามเณรที่คนไทยนับถือสูง หลอกลวงหาเงินทอง บำเรอความสุขส่วนตัว พระภิกษุสามเณรปลอมเหล่านี้จึงทำลายพระพุทธศาสนาที่ดีให้หมดไป เพราะทำให้ผู้คนที่ต้องการพ้นทุกข์ขาดศรัทธา ไม่นับถือพุทธศาสนายิ่งขึ้น<o:p></o:p></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span lang="TH" style="font-family: inherit; font-size: 16.0pt;"><br /></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span lang="TH" style="background-color: cyan; font-family: inherit;">แต่ทั้งหมดที่กล่าวมา ถึงแม้จะขับไล่พระภิกษุสามเณรที่ไม่ทำตามพระธรรมวินัยออกไปให้หมด
อย่างเช่น พระเจ้าอโศกมหาราช รัชกาลที่ ๑
ก็เป็นการยากมากอยู่ดี ที่จะทำให้มนุษย์ทั่วไปหันมาเข้าใจศาสนาพุทธที่แท้
แม้คนๆนั้นจะตั้งใจดีรักษาพุทธศาสนาก็ตาม แต่อย่างไรคนที่อยากให้มนุษย์พ้นทุกข์ ก็ยังต้องช่วยเพื่อนมนุษย์ต่อไป</span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="background-color: yellow;"><span style="font-family: inherit;"><br /></span></span>
<span style="background-color: yellow;"><span style="font-family: inherit;">เพราะนับตั้งแต่มนุษย์โดยทั่วไปเกิดมา ก็ถูกสอนให้ “ยึดมั่นถือมั่น” ทุกสิ่งมาตลอด แต่คำสอน
หรือ “หลักพุทธศาสนา” สอนให้ละอัตตา
สอนให้ละคลายความยึดมั่นถือมั่น จะไปด้วยกันได้อย่างไร </span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="background-color: yellow; font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">ยิ่งโลกทุกวันนี้
มีแต่การส่งเสริมให้ยึดมั่นถือมั่นมากขึ้น ส่งเสริมอัตตามากขึ้น ผู้คนจึงหลงทั้งอบายมุข สิ่งเพลิดเพลิน รวมทั้งหลงยึดมั่นว่าตัวเองเป็นคนเก่ง คนดีกว่าใคร ทำให้ยิ่งนอกพุทธศาสนาไปใหญ่</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="background-color: yellow;">จึงเป็นการยากมากที่พุทธแท้ จะเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์
และสังคมที่มีแต่ความสุข
ความสะดวกสบาย
และยิ่งถ้าอยู่ในสังคมที่มีความหลงใหล
ฟุ้งเฟ้อ หลงอัตตา หลงศักดิ์ศรีชนชั้น ก็ยิ่งจะถูกหลอกจากคนที่ “สร้างภาพ”
ว่าพวกตัวเท่านั้นที่เป็นคนดีกว่าใคร </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">...</span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;">น่าสงสารประเทศในอนาคตจริงๆ ครับ </span><span style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"> <span lang="TH">เพราะ......จะมีแต่พวกขยันอยากพัฒนา แต่
"โง่" และอวดฉลาด มากขึ้น</span><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="background-color: lime;"><span style="font-family: inherit;">ช่วยกัน “ฉุกคิด”
สักนิดว่า ถ้าอยากให้พระภิกษุสามเณรทำตามพระธรรมวินัยดีขึ้น จะมีทางอื่นที่ดีกว่า การทำลายล้าง
และการใส่ร้ายป้ายสีแบบทุกวันนี้ไหมครับ</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><span style="background-color: lime; font-family: inherit;"><br /></span></span>
<div style="text-align: center;">
<span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><span style="background-color: white; font-family: inherit;">..............</span></span></div>
<span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><span style="background-color: lime; font-family: inherit;"><br /></span></span>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;"><b><span lang="TH">บทสรุป....</span></b><b><o:p></o:p></b></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH">มาถึงตอนนี้
หลายท่านก็คงพอเข้าใจระดับหนึ่งว่าปรากฏการณ์ของวงการสงฆ์ไทย และความดูหมิ่นดูแคลนพระภิกษุสงฆ์ในปัจจุบันมาจากทั้งตัวพระภิกษุสามเณร
และความต้องการของสังคมที่อยากให้พระดีเข้ามาช่วย “สังคม” </span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH">ซึ่งเรื่องที่สังคมต้องการได้ทั้งพระดีตามพระธรรมวินัยด้วย และให้พระช่วยเหลือ “สังคม” ไปด้วย คงเป็นการยากที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ เพราะถ้าพระมุ่งมาช่วยเหลือสังคมมากขึ้นเท่าใด
หรือสังคมต้องการให้วัดเป็นที่ฝึกอบรมลูกหลานของตัวเองให้เป็นคนดี พระภิกษุสงฆ์ก็ต้องย่อหย่อนพระธรรมวินัยเท่านั้น </span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH">เช่น
หลายท่านมีความศรัทธาในองค์หลวงพ่อคูณ
ว่าเป็นพระดี พระเสียสละ ไม่ยึดติดช่วยเหลือทั้งทางราชการ และภาคเอกชนมานับไม่ถ้วน แต่ถ้าเอาอย่างที่หลายคนอยากได้พระแท้ พระที่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยจริงๆ ประชาชนก็ทำให้หลวงพ่อคูณต้องปลงอาบัติทุกวัน เพราะหลวงพ่อคูณต้องปลุกเสกเครื่องรางของขลัง วัตถุมงคล
เคาะหัว นิมนต์ท่านเหยียบโฉนดที่ดิน และรับเงินบริจาคจากผู้มีศรัทธาด้วยมือท่านเอง แต่เพราะท่านมีเมตตาจิต ยอมอาบัติ
เนื่องจากท่านเห็นแก่ความทุกข์
ความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องการท่านเป็นที่พึ่ง
และเห็นแก่หน่วยราชการที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในการสร้างสิ่งต่างๆ
ที่เป็นสาธารณประโยชน์แก่คนส่วนมาก
ท่านจึงยอมเสียสละส่วนตน
เพื่อประโยชน์ส่วนรวม</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span lang="TH">แต่..เมื่ออย่างไร
“สังคม กับ พระสงฆ์” คงตัดกันไม่ขาด
เพราะพระเองก็เลี้ยงชีพ (บิณฑบาต) ได้ด้วยศรัทธาจากชาวบ้าน เมื่อชาวบ้านเดือดร้อน และมาขอความช่วยเหลือ
พระเองก็ต้องอนุเคราะห์ตามความสามารถของตนเองด้วยเมตตาจิต จะบอกว่าอาตมาบวชมาเพื่อไปนิพพาน ไม่ขอเกี่ยวข้องกับโลกใดๆ
ทั้งสิ้นก็ไม่ได้ ถ้าผู้ใดเคยอ่านประวัติองค์หลวงปู่มั่น เมื่อชาวบ้านประสบกับความเดือดร้อนจากการทำมาหากินทั้งภัยแล้ง ภูติผีปีศาจรบกวน หลวงปู่มั่นท่านก็อนุเคราะห์ช่วยเหลือด้วยตนเองบ้าง ส่งพระที่มาฝึกปฏิบัติกับท่าน ไปช่วยเหลือชาวบ้านเสมอ ทั้งสงเคราะห์ด้านการเพาะปลูก และการสวดมนต์
ประพรมน้ำมนต์ เพื่อไม่ให้ภูติผีปีศาจรบกวน</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="background-color: cyan; font-family: inherit;"><span lang="TH">ซึ่งคนในสังคมไทยปัจจุบัน
มองเห็นถือเอาสิ่งที่สังคมไทยแต่โบราณได้แบ่งพระออกเป็น ๒ พวกใหญ่ๆ คือพระฝ่ายคามวาสี(พระบ้าน) และฝ่ายอรัญญวาสี(พระป่า) ซึ่งพระบ้านนั้น ชาวบ้านต้องการให้ศึกษาเล่าเรียนตามพระธรรมวินัยมากๆ
จะได้มาสอนชาวบ้านต่อ และทางบ้านเมืองก็ส่งเสริมให้พระภิกษุสามเณรเรียนธรรมะ
แปลภาษาบาลี ซึ่งถ้าพระองค์ใดเรียนดี สอบได้ตามกฎเกณฑ์ ก็ยกเว้นการเกณฑ์ทหารให้ ได้รับสิทธิพิเศษหลายประการ แถมถ้าสอบได้ตั้งแต่ประโยค ๓ ขึ้นไป ก็แต่งตั้งให้เป็นพระมหา มีพัดประจำตำแหน่ง มีเงินนิตยภัตรให้อีก โดยหวังว่าจะได้เป็นผู้นำทางจิตใจให้กับชาวบ้าน
และช่วยฝึกอบรมลูกหลานชาวบ้านต่อไป </span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="background-color: cyan; font-family: inherit;"><span lang="TH">ส่วนพระที่ชอบปฏิบัติ
ฝึกฝนจิตใจโดยตรง
ไม่อยากยุ่งกับโลก
ท่านก็เข้าไปอยู่ตามที่ห่างไกลผู้คนรบกวน
ซึ่งอาจจะเป็นป่า เป็นถ้ำ เป็นที่รกร้างว่างเปล่า หรืออาจจะจาริกรุกขมูลไปเรื่อยๆ ชาวบ้านก็อนุโมทนาสาธุด้วย และไม่ไปรบกวนท่านแต่อย่างใด </span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span lang="TH" style="background-color: cyan;"><span style="font-family: inherit;">ซึ่งสังคมไทยที่ผ่านมาเป็นอย่างนี้ ชาวบ้านทั่วไปต่างเข้าใจ และไม่คาดหวังว่าพระบ้านจะเป็นพระที่ดีนัก
ขอเพียงแต่ไม่ล่วงละเมิดอาบัติปาราชิกก็พอใจแล้ว แถมเมื่อมีพระดี พระนักพัฒนามาอยู่ในหมู่บ้าน ก็มักจะยุยงส่งเสริมลูกสาวให้พยายามเกี้ยวพาราสีพระมาเป็นลูกเขย หรือไม่ก็ลงทุนหว่านล้อมพระด้วยตนเองก็มี ใครอ่านประวัติหลวงปู่หลวงพ่อสายกัมมัฏฐาน มักจะเจอเรื่องเหล่านี้เป็นประจำ
แม้หลวงพ่อชาท่านก็เคยถูกชาวบ้านใช้วิธีการนี้เช่นกัน เพราะชาวบ้านเชื่อว่า คนที่บวชเรียนแล้ว มักเป็นผู้ชายที่ดี จะเป็นพ่อบ้านที่ดี ไม่งั้นชาวบ้านแต่ก่อนคงไม่ส่งเสริมลูกแต่งงานกับคนที่ยังไม่เคยบวชหรอกครับ</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;">ดังนั้น
เมื่อปรากฏการณ์ทางสังคมไทย
ที่เกี่ยวข้องพระสงฆ์เป็นอย่างนี้
ในทัศนะของผมพอมีวิธีการ / แนวทาง
การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ทาง คือ</span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="background-color: #ffd966; font-family: inherit;"><span lang="TH" style="text-indent: -18pt;">๑.<span style="font-stretch: normal;"> </span></span><span lang="TH" style="text-indent: -18pt;">มีการลงโทษพระสังฆาธิการตั้งแต่เจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล
เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด และเจ้าคณะภาคที่รับผิดชอบพระภิกษุสามเณรในเขตตนเองไม่ให้ล่วงละเมิดพระธรรมวินัยที่ทำลายศรัทธาประชาชนอย่างจริงจัง ตั้งแต่เบาไปจนกระทั่งปลดออกจากตำแหน่ง </span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="background-color: yellow; font-family: inherit;"><span lang="TH" style="text-indent: -18pt;">๒.<span style="font-stretch: normal;"> </span></span><span lang="TH" style="text-indent: -18pt;">กำหนดให้พระบ้าน หรือพระป่าครองสีจีวรที่แตกต่างกัน (ซึ่งทางพฤตินัยก็ทำกันอยู่แล้ว ไม่งั้นเมื่อปี ๒๕๕๗ จะมีนโยบายให้พระมหานิกายห่มผ้าสีเหลืองเจือส้ม
ห่มจีวรแบบไทยเดิมเลิกข้าง บิดลูกบวบออกมาทางขวา
และพระธรรมยุติห่มจีวรสีพระราชนิยม ห่มจีวรแบบแหวก ซึ่งก็ไม่ได้ผลทางนิตินัยนัก) เพราะมีพระบ้านก็ไปห่มสีแบบพระป่า เลยสับสนกันไปหมด</span></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle">
<span style="background-color: yellow; font-family: inherit;"><br /></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle">
<span style="background-color: yellow; font-family: inherit;">ดังนั้น เพื่อให้ชาวบ้านไม่สับสน จะได้แยกออกว่าพระพวกไหน เป็นพระเพื่อ/ของ “สังคม” ที่ควรทำใจบ้าง ไม่ถือโทษตำหนิติเตียนมากนัก ทางพระหรือทางราชการ จึงควรออกเป็นกฎให้ชัดเจน</span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle">
<span style="background-color: yellow; font-family: inherit;"><br /></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle">
<span style="background-color: yellow; font-family: inherit;">เช่น
ทางฝ่ายมหานิกาย ถ้าเป็นพระบ้านให้นุ่งห่มจีวรแบบสีเหลืองเจือส้ม พระป่านุ่งห่มสีเหลืองหม่น ทางฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ถ้าเป็นพระบ้านให้ห่มสีกรักทอง หรือสีพระราชนิยม ส่วนพระป่าให้นุ่งห่มสีกรักแก่นขนุน เป็นเรื่องเป็นราว เป็นกิจจะลักษณะ และห้ามพระบ้านหรือพระป่านุ่มห่มสีที่ไม่ใช่ตนเองสังกัดอยู่เป็นอันขาด </span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle">
<span style="background-color: yellow; font-family: inherit;"><br /></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle">
<span style="background-color: yellow; font-family: inherit;">ส่วนเมื่อเห็นพระที่นุ่งห่มสีกรักแก่นขนุน ที่เราถือว่าเป็นพระที่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่ตรงที่สุด มาเดินเพ่นพ่านในตลาด /ในเมือง หรือ ใช้เงินจับจ่ายซื้อขาย นุ่งห่มไม่เรียบร้อย ไม่อยู่ตามป่า
ตามทีวิเวกห่างไกลผู้คน ก็ให้ทางเจ้าหน้าที่และพระวินยาธิการจับลาสิกขาไป ก็คงพอบรรเทาปัญหาไปได้บ้าง</span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle">
<span style="background-color: yellow; font-family: inherit;"><br /></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle">
<span style="background-color: yellow; font-family: inherit;">หรือจะเลียบแบบเครื่องแบบของข้าราชการที่มีสีไปแต่ละหน่วยงานก็ดีเหมือนกัน เช่น
พระเรียนหนังสือนุ่งห่มสีเหลืองเจือแดง
พระนักพัฒนานุ่งห่มสีเหลืองหม่น พระหมอๆทั้งหลายนุ่งห่มสีแดงเจือดำ พระปฏิบัติกัมมัฏฐานนุ่งห่มสีกรักแก่นขนุน เป็นต้น
ก็จะช่วยให้ชาวบ้านได้รับรู้
และหายความคาดหวังลงได้บ้างว่าพระองค์ไหนต้องเคร่งมาก องค์ไหนไม่ต้องเคร่งมาก</span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle">
<span lang="TH" style="background-color: #ffd966; text-indent: -18pt;"><span style="font-family: inherit;"><br /></span></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle">
<span style="background-color: cyan; font-family: inherit;"><span lang="TH" style="text-indent: -18pt;">๓.<span style="font-stretch: normal;"> </span></span><span lang="TH" style="text-indent: -18pt;">ชาวบ้านช่วยกันกำจัดพระภิกษุสามเณรที่ไม่สำรวม ล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ ด้วยการไม่ใส่บาตร ไม่นิมนต์รับอาหารที่บ้าน ไม่กราบไหว้สักการะ และถ้าเป็นไปได้ช่วยกันขับไล่ออกจากวัดหรือที่พักในชุมชนของชาวบ้านทันที ถ้าชาวบ้านแข็งพอ ไม่ช้าพระที่ไม่ดีก็จะหายไปจากวัด
หรือสังคมไทยได้ทางหนึ่ง (แต่ปัจจุบันพระกลัวชาวบ้านไม่พอใจจะขับไล่ได้ง่ายๆ จึงพยายามยกวัดที่อยู่เป็นพระอารามหลวง ชาวบ้านหมดสิทธิ์ที่จะจัดการพระโดยตรง การจะแต่งตั้งถอดถอนเจ้าอาวาส
ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เป็นหน้าที่ของมหาเถรสมาคมเท่านั้น)</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="background-color: #ffd966; text-indent: 36pt;"><span style="font-family: inherit;">....</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 12pt 0cm 0.0001pt;">
<span style="font-family: inherit;"><span style="text-indent: 36pt;">ทั้งหมดนี้</span><span style="text-indent: 36pt;"> </span><span style="text-indent: 36pt;">คงไม่สามารถจะทำให้พระภิกษุสามเณรทั้งหมดดีขึ้นได้</span><span style="text-indent: 36pt;"> </span><span style="text-indent: 36pt;">แต่ก็คงดีระดับหนึ่งครับ</span></span></div>
<span lang="TH" style="font-family: "th sarabunit๙" , "sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><span style="background-color: lime; font-family: inherit;"><br /></span></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><br /></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><br /></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span style="font-family: inherit;"><br /></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<span lang="TH" style="font-family: inherit; font-size: 16.0pt;"> <o:p></o:p></span></div>
<div style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<br /></div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 10.0pt; text-align: center;">
</div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 12.0pt;">
<br /></div>
</div>
ทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-51679514523396428762014-10-16T20:42:00.003-07:002024-03-25T02:19:09.807-07:00พระเอก - จอมมาร : ธรรมะ - อธรรม<div class="ng-binding" ng-bind-html="post.content">
หนังสือหลายเรื่องกล่าวถึงการต่อสู้ระหว่าง พระเอกซึ่งเป็นผู้กล้า ...กับจอมมารผู้ชั่วร้าย...<br />
><br />
เรื่องราวเหล่านี้ถ้าหากพลอตไม่ซับซ้อนมาก จอมมารก็อาจไม่ค่อยมีหลักการ แต่เป็นคนอารมณ์ดี ชอบหัวเราะ “วะฮ่าฮ่าฮ่า กูอยากยึดครองโลก กูก็ไม่รู้หรอกว่ายึดไปทำไม พลอตมันเขียนแบบนี้!”<br />
><br />
แต่หากพลอตซับซ้อนหน่อย ก็จะมีการให้เหตุผลกับจอมมารมากขึ้น เช่น “...เราเป็นจอมมารเพื่ออะไรบางอย่าง...”<br />
><br />
ลึกลงไปหลายครั้งเหตุผลนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี เช่น ต้องการให้บ้านเมืองเจริญ ต้องการให้เผ่าพันธุ์ของตัวเองอยู่รอด หรือแม้แต่ต้องการสันติภาพอันถาวร... หลายครั้งเป้าหมายปลายทางไม่ได้ต่างจากพระเอก<br />
><br />
...สิ่งที่แตกต่างกันคือวิธีการ...<br />
><br />
เช่น หากพระเอกเดินไปพบเด็กกำลังจมน้ำ และหมู่บ้านที่กำลังถูกไฟไหม้พร้อมกัน พระเอกต้องตัดสินใจว่าจะช่วยใครก่อน<br />
><br />
ถ้าพระเอกนั้นมีความสามารถจริง เขาจะไม่ยอมละทิ้งธรรมะเล็กเพื่อธรรมะใหญ่ เขาจะรีบว่ายน้ำไปช่วยเด็ก แล้วรีบปีนกลับขึ้นไปช่วยดับไฟที่หมู่บ้านจนสำเร็จ หากทำได้เช่นนี้จึงนับเป็นฮีโร่<br />
><br />
แต่ถ้าเป็นจอมมาร เขาจะไม่ลังเลที่จะเสียสละส่วนน้อยรักษาส่วนใหญ่ เขาจะวิ่งไปช่วยดับไฟที่หมู่บ้านทันที และเผลอๆ อาจจะยิงเด็กคนนั้นตาย เพื่อไม่ให้ผู้คนสับสน<br />
><br />
จอมมารมักเห่อเหิมในอำนาจ ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเขาโดยไม่เลือกวิธีการ ไม่สนใจความเดือดร้อนของคนอื่น พระเอกจะมองว่าจอมมารโหดร้าย จอมมารจะมองว่าพระเอกไร้เดียงสา ไม่มีประสิทธิภาพ...<br />
><br />
หากให้ผู้คนตัดสิน ใครๆ ก็ต้องบอกว่าพระเอกนั้นดีกว่าจอมมาร... แต่ในบางสถานการณ์ จอมมารก็จัดการปัญหาบางอย่างได้ดีกว่าพระเอก...<br />
><br />
โลกที่เราอาศัยอยู่นั้น ไม่ใช่โลกที่มีธรรมะกำลังต่อสู้กับความชั่วร้าย...เท่านั้น แต่...เป็นโลกที่ “ธรรมะ” อย่างหนึ่ง กำลังต่อสู้กับ “ธรรมะ” อีกอย่างหนึ่ง.<br />
><br />
ในยามสังคม "ทุรเข็ญ" เพราะทัศนคติ ตรรกะวิปริต อาเพศ วิบัติไปหมดทุกอย่าง แม้แต่ผู้นำด้านการบริหาร และศาสนา<br />
><br />
ถ้าเข้าใจ ก็ย่อมมีชีวิตที่พอมีความสุขได้</div>
<div class="pad-top-half">
</div>
ทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-1516291404354179522014-10-16T20:18:00.002-07:002014-10-16T20:18:52.091-07:00สังคมไทยถูกปลูกฝังมาให้ "เชื่อ" มากกว่า "คิด-วิเคราะห์"จะเห็นได้ว่า สังคมไทย กำลังตกอยู่ภายใต้กระแสโฆษณาชวนเชื่อ<br />
เช่น เรื่องต้องการให้สังคมมีแต่ "คนดี" เกลียด "คนเลว ทุจริต คอรัปชั่น"<br />
ซึ่งคนไทยโดยมากจะบริโภค เสพข่าวสารนั้นทันทีที่ได้รับรู้<br />
เพราะเชื่อมั่นในแหล่งข่าวที่ตนเองอ่าน หรือฟัง<br />
จนกลายเป็นเกลียดชังบุคคล หรือสิ่งต่างๆ ตามที่เขาโฆษณาต่อๆกันมา.<br />
><br />
ซึ่งไม่สามารถจะโทษใครได้<br />
เพราะสังคมไทยถูกปลูกฝังมาให้ "เชื่อ" มากกว่า "คิด-วิเคราะห์"<br />
ซึ่งก็เป็นการดี ถ้าผู้ใหญ่ที่เราเชื่อ เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณธรรมจริงๆ<br />
><br />
แต่...ปัจจุบัน มันไม่ใช่อย่างที่คิด และเชื่อมาตลอด<br />
เพราะผู้นำ หรือผู้ใหญ่บางคน จิตใจเต็มไปด้วยเล่ห์กระเท่ห์<br />
มีแต่ความปลิ้นปล้อน หลอกลวง อิจฉาริษยาผูัได้ดีกว่า<br />
แต่ทำตัวหลอกลวง(สร้างภาพ) ว่า ตัวเองเป็นคนดี มีคุณธรรม<br />
><br />
สังคมไทยในอนาคต จึงอยู่ยากขึ้นทุกวัน<br />
เพราะเราไม่ได้ "ฝึก" สอนให้เด็ก "คิดวิเคราะห์" ทุกอย่างที่เห็น หรือพบ<br />
><br />
ก็หวังว่า สิ่งที่ผมแชร์ และโพสต์ อาจจะพอกระตุ้น<br />
ให้ท่าน "ฉุกใจ" คิดได้บ้าง ว่า....<br />
โลกนั้นไม่มีเพียงด้านเดียวที่ท่านคิด หรือเห็น หรือหลงเชื่อ<br />
><br />
จึงอยากให้ทุกท่านมีหลักการ หรือเหตุผล<br />
เมื่อท่านได้รับฟัง หรืออ่านข่าวสารต่างๆ<br />
ด้วยการ "คิดก่อนเชื่อ" หรือ "หาข้อมูล" ให้ครบทุกด้าน<br />
ก่อนจะตัดสินใจ "เชื่อ" หรือ "พูด" ออกไปเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง<br />
><br />
ขอให้ทุกท่าน มี "สติ" และ "ปัญญา" ในการดำรงชีวิตเสมอ<br />
ผมขอเอาใจช่วยทุกท่านนะครับทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-52402547076964060702014-06-13T12:47:00.001-07:002024-03-25T02:19:09.991-07:00สิ่งที่พบเห็น และรับรู้ : โรงเรียนคุณธรรม ๑<div class="MsoNormal" style="text-align: left;">
<span lang="TH" style="font-family: 'TH SarabunPSK', sans-serif; font-size: 20pt;">เมื่อปีการศึกษา ๒๕๕๖
ผมได้รับเกียรติจากสำนักงานศึกษาธิการภาค ๓
ซึ่งรับผิดชอบติดตามดูแลการจัดการศึกษาของหน่วยงานการศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ มีจังหวัดลพบุรี สิงห์บุรี
อ่างทอง ชัยนาท</span><span style="font-family: 'TH SarabunPSK', sans-serif; font-size: 20pt;"> <span lang="TH">ให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการติดตามประเมินผลการดำเนินงานสถานศึกษาตามโครงการพัฒนาและส่งเสริมคุณธรรมพื้นฐาน ของกระทรวงศึกษาธิการ</span> </span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">โครงการนี้ กระทรวงศึกษาธิการ <b>มีจุดประสงค์ตั้งใจให้สถานศึกษาตระหนักถึงคุณค่าในการสร้าง
ส่งเสริม
พัฒนา ปลูกฝังคุณธรรมในสถานศึกษา</b></span><b><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"> <span lang="TH">เพื่อไปปลูกฝัง หรือกระตุ้นนักเรียน
/ นักศึกษามีจิตสำนึกที่ดี เกิดแนวคิด แนวทางการประพฤติตนตามคุณธรรมพื้นฐาน ๘ ประการ</span></span></b><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"> <b>ได้แก่
ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์
มีวินัย สุภาพ สะอาด สามัคคี มีน้ำใจ</b></span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">ในการประเมินครั้งแรก ทางสำนักงานศึกษาธิการภาค ๓ ได้ให้ศึกษาเอกสาร วีดิทัศน์ที่แสดงถึงวิธีการ กิจกรรม
หรือกระบวนการพัฒนาส่งเสริมคุณธรรมของสถานศึกษาต่างๆ ที่คิดว่าตัวเองประสบผลสำเร็จแล้ว จำนวน ๓๓ โรงเรียน </span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">แต่...จากการศึกษาเอกสาร ชมวีดิทัศน์
พบว่า สถานศึกษา “เข้าใจผิด” และ
“หลงทาง” หลายประเด็น ดังนี้<o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpFirst" style="mso-list: l1 level1 lfo1; text-indent: -.25in;">
<!--[if !supportLists]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt; mso-fareast-font-family: "TH SarabunPSK";"> ๑.<span style="font-family: 'Times New Roman'; font-size: 7pt;"> </span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">ไม่เข้าใจว่า
คุณธรรม คือ อะไร หรือไม่รู้จะดูจากตรงไหนถึงจะรู้ว่าเป็นคุณธรรม </span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle" style="mso-list: l1 level1 lfo1; text-indent: -.25in;">
<!--[if !supportLists]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt; mso-fareast-font-family: "TH SarabunPSK";"> ๒.<span style="font-family: 'Times New Roman'; font-size: 7pt;"> </span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">บางท่านไปนำเอา
“จริยธรรม” มาเป็น “คุณธรรม”</span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle" style="mso-list: l1 level1 lfo1; text-indent: -.25in;">
<!--[if !supportLists]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt; mso-fareast-font-family: "TH SarabunPSK";"> ๓.<span style="font-family: 'Times New Roman'; font-size: 7pt;"> </span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">ทำกิจกรรม
“เฉพาะกิจ” ขึ้นมารองรับการส่งเสริมและพัฒนาคุณธรรม</span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle" style="mso-list: l1 level1 lfo1; text-indent: -.25in;">
<!--[if !supportLists]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt; mso-fareast-font-family: "TH SarabunPSK";"> ๔.<span style="font-family: 'Times New Roman'; font-size: 7pt;"> </span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">ทำกิจกรรม เพื่อให้แต่นักเรียนทำ แต่ครูไม่ต้องทำ หรือไม่ต้อง “เป็น”</span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpLast" style="mso-list: l1 level1 lfo1; text-indent: -.25in;">
<!--[if !supportLists]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt; mso-fareast-font-family: "TH SarabunPSK";"> ๕.<span style="font-family: 'Times New Roman'; font-size: 7pt;"> </span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">มุ่งแต่ทำกิจกรรม แต่ไม่มีระบบกระบวนการที่จะพัฒนานักเรียนให้มีคุณธรรม
จากหลักการ แนวคิด หรือทฤษฏีใดๆ</span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<b><span lang="TH" style="color: red; font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">“ถ้าเริ่มต้นผิด เข้าใจไม่ตรง สิ่งที่ได้จึงไม่เกิดผลตามที่ต้องการ”</span></b><b><span style="color: red; font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"><o:p></o:p></span></b></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"> <span lang="TH">ในการประเมินรอบต่อมา เป็นการประเมินเพื่อพิจารณาศึกษาดูว่าได้ผล(คุณธรรม)
ตามที่โรงเรียนได้ทำกิจกรรมส่งเสริมหรือพัฒนาหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการได้ไปเยี่ยมเยือนสถานศึกษาต่างๆ <b>โดยไม่ได้นัดหมาย หรือแจ้งให้ทราบล่วงหน้า</b> เพื่อเห็นสภาพจริง จะเรียกว่าเป็นการ “ประเมินตามสภาพจริง”
ก็ย่อมได้</span> <span lang="TH">ทั้งเยี่ยมชม และให้ครู ผู้บริหาร
และนักเรียนตอบแบบสอบถามด้วย<o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"> ผลปรากฏว่า สถานศึกษาหลายแห่งเป็นไปตามที่ผม
และคณะกรรมการตั้งข้อสังเกตไว้ โดยสถานศึกษาหลายแห่งผมและคณะกรรมการเข้าไปก่อนเคารพธงชาติ ระหว่างพักรับประทานอาหารกลางวัน บางครั้งเข้าไปขณะสถานศึกษากำลังเลิก ทำให้ประจักษ์ชัดว่า สถานศึกษาหลงทางไปทำ “กิจกรรม” มากกว่าที่ตั้งใจ
“พัฒนา(ปลูกฝัง)” คุณธรรมจริยธรรมจริงๆ </span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"> การไปเยี่ยมเยือนโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า หรือนัดหมายก่อน ทำให้เห็นของจริงว่าสถานศึกษาและตัวบุคลากร
นักเรียนเป็นอย่างไร ทั้งสภาพแวดล้อม อาคารสถานที่
บุคลิก พฤติกรรม
ส่วนมากจะไม่ค่อยสะอาดเรียบร้อย วุ่นวาย
มีที่ประทับใจอยู่ ๓ โรงเรียน
คือ โรงเรียนเมืองละโว้
โรงเรียนบรรจงรัตน์ และโรงเรียนพิบูลวิทยาลัย ที่ดีเยี่ยมทั้งหมด สภาพแวดล้อมก็สะอาด ข้าวของในห้องจัดเรียบร้อย โดยเฉพาะโต๊ะทำงานครู ห้องพักครูสะอาดเรียบร้อยมาก นักเรียนมีอัธยาศัย มีน้ำใจช่วยเหลือกัน ครูก็มีกิริยามารยาทเรียบร้อย สมเป็นครู เรียกว่าเขาดีจริงๆตามที่เป็นอยู่ ไม่มีการจัดฉากให้ใครดู </span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-indent: .5in;">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">ซึ่งตรงนี้ผมและคณะกรรมการ ถือว่า <b>“ถ้าบุคลากรครูยังไม่ดีจริง ยังไม่เป็นตัวอย่าง (ต้นแบบ) แล้วจะให้นักเรียนมีพฤติกรรมหรือจิตใจที่มีคุณธรรมได้อย่างไร”</b>
</span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"> โรงเรียนที่จัดการศึกษาในระดับประถมศึกษา ยิ่งเป็นแถบชนบท มักจะได้เปรียบสถานศึกษาทั่วไปอย่างหนึ่ง
คือ ตัวนักเรียนจะเด่นเรื่อง ความซื่อสัตย์ ความสามัคคี และความมีน้ำใจ โดยเฉพาะคุณธรรมสุดท้าย “ความมีน้ำใจ”
จะเด่นมาก ซึ่งถ้าดูไปแล้ว น่าจะมาจากอิทธิพลของสังคมไทย มากกว่า “ฝีมือ” พัฒนาของสถานศึกษา</span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"> <span lang="TH">แต่มีอยู่แห่งหนึ่งที่สามารถสร้างคุณธรรมชั้นสูง
(ความกตัญญูกตเวที) ได้ดีมาก จะเล่าให้อ่านในครั้งต่อไป<o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"> และเมื่อกลับมาตรวจสอบการตอบแบบสอบถามของนักเรียน
และบุคลากรครูของสถานศึกษาต่างๆ
ทำให้ได้ผลยืนยันชัดเจนว่า สถานศึกษาส่วนมากยังไม่สามารถ <b>“สร้างระบบ” เพื่อให้มีกระบวนการทำงานที่มีคุณภาพ จนทำให้นักเรียนเกิดความตระหนัก เห็นคุณค่า</b> <b><span style="color: red;">และมีพฤติกรรมที่ออกมาจากจิตใจ”</span></b> อย่างแท้จริง</span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"> <o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"> <span lang="TH">ช่วงนี้ขอสรุปก่อนว่า </span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpFirst" style="margin-left: .75in; mso-add-space: auto; mso-list: l0 level1 lfo2; text-indent: -.25in;">
<!--[if !supportLists]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt; mso-fareast-font-family: "TH SarabunPSK";">๑.<span style="font-family: 'Times New Roman'; font-size: 7pt;">
</span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">คุณธรรม ดูพฤติกรรมที่ออกมาจากจิตใจ, จริยธรรมดูที่พฤติกรรมตรงๆ </span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle" style="margin-left: .75in; mso-add-space: auto;">
<i><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">(</span></i><i><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">“<span lang="TH">คุณธรรม</span>” <span lang="TH">หมายถึง สภาพจิตใจที่มี </span>“<span lang="TH">จิตสำนึกที่ดี</span>” <span lang="TH">หรือ </span>“<span lang="TH">จิตใจที่ดีงาม</span>” <span lang="TH">หรือ จิตใจที่มี </span>“<span lang="TH">หลัก</span>” <span lang="TH">ยึดในความดี ความงาม ความถูกต้อง หรือ จิตใจที่ตระหนักถึงความรับผิดชอบ รู้จักผิดชอบชั่วดี เกรงกลัวต่อการกระทำความชั่ว ซึ่งแสดงออกมาทางกาย วาจา
และความประพฤติ หรือการปฏิบัติที่ทำเป็นประจำ ต่อเนื่อง
ที่กลายหรือติดเป็น </span>“<span lang="TH">นิสัย</span>” <span lang="TH">ของแต่ละบุคคล เมื่อจิตเกิดคุณธรรมขึ้นแล้ว
จะทำให้เป็นผู้มีจิตใจดี และคิดแต่สิ่งที่ดี
จึงได้ชื่อว่า </span>“<span lang="TH">เป็นผู้มีคุณธรรม</span>”<span lang="TH">)<o:p></o:p></span></span></i></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle" style="margin-left: .75in; mso-add-space: auto;">
<br /></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle" style="margin-left: .75in; mso-add-space: auto; mso-list: l0 level1 lfo2; text-indent: -.25in;">
<!--[if !supportLists]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt; mso-fareast-font-family: "TH SarabunPSK";">๒.<span style="font-family: 'Times New Roman'; font-size: 7pt;"> </span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">คุณธรรมจะเห็นได้ชัดจากความเคยชิน หรือแสดงออกมาโดยทันทีเมื่อเจอสถานการณ์ต่างๆ</span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle" style="margin-left: .75in; mso-add-space: auto; mso-list: l0 level1 lfo2; text-indent: -.25in;">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"><br /></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle" style="margin-left: .75in; mso-add-space: auto; mso-list: l0 level1 lfo2; text-indent: -.25in;">
<!--[if !supportLists]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt; mso-fareast-font-family: "TH SarabunPSK";">๓.<span style="font-family: 'Times New Roman'; font-size: 7pt;"> </span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">คุณธรรมสร้างได้โดย
</span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle" style="margin-left: .75in; mso-add-space: auto;">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">๓.๑
บุคลากร /ครู ทุกคนต้อง <b><i>“ทำเป็นตัวอย่าง ต้นแบบ”</i></b> ในทางที่ดีงาม หรือในสิ่งที่ตนเองจะปลูกฝังให้กับนักเรียน</span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle" style="margin-left: 0.75in; text-align: left;">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">๓.๒ มีการจัดกิจกรรมที่ดีที่ให้นักเรียน<b>ทำเป็น<i>“กิจวัตร”</i></b>
อย่างจริงจัง ต่อเนื่องทุกวันอย่างน้อย ๓ ปีขึ้นไป โดยมีระบบและกระบวนการทำที่ดี</span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"> <span lang="TH"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle" style="margin-left: 0.75in; text-align: left;">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">๓.๓ มีกิจกรรมที่ให้นักเรียนต้องทำด้วยตนเอง
และ/หรือได้ร่วมทำกับผู้อื่นหรือได้มาด้วย <b>“ความยากลำบาก หรือต้องต่อสู้ฝ่าฟัน”</b>จนกว่าประสบความสำเร็จ</span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"> <span lang="TH">หรือ<o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpMiddle" style="margin-left: 0.75in; text-align: left;">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">๓.๔<b> ปลูกฝัง</b>ให้นักเรียนมี </span><b><i><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">“<span lang="TH">ความเชื่อ หรือ ความศรัทธา</span>”</span></i></b><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"> เช่น
กฎแห่งกรรม การเวียนว่ายตายเกิด
บาปบุญคุณโทษ พระเจ้า เป็นต้น หรือ
เชื่อมั่นศรัทธาต่ออุดมการณ์เป้าหมายที่สูงส่งของชาติ / สังคม เป็นต้น หรือ<o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoListParagraphCxSpLast" style="margin-left: 0.75in; text-align: left;">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">๓.๕ ทำให้ <b>“ตระหนัก”</b> ในคุณค่าของชีวิต หรือทำให้ <b>“เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง”</b> ต่อความเป็นจริงของชีวิต เช่น
ขันธ์ ๕ กฎไตรลักษณ์
โลกธรรม ๘ อริยสัจ ๔
มรรค ๘ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ เป็นต้น</span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: left;">
<br /></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: left;">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"> สถานศึกษาส่วนมากข้อ ๓.๑ ก็ไม่ผ่านแล้วครับ,</span><span style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;"> <span lang="TH">ข้อ ๓.๒ มีอยู่ ๗ แห่งที่ทำได้ถึง, ข้อ ๓.๓ ที่เด่นชัดมี ๔ แห่ง, ข้อ ๓.๔
ยังสรุปไม่ได้ชัดว่า เป็นฝีมือของสถานศึกษา หรือสังคม
หรือครอบครัว หรือพระ หรือสื่อสารมวลชนกันแน่ แม้ในสถานศึกษาจะมีกิจกรรมตามแนวทางศาสนา
แต่จากการตอบแบบสอบถามของนักเรียนมีน้อยคนมากที่จะเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม หรือนรกสวรรค์
เป็นต้น ส่วนข้อ ๓.๕ ยังไม่สถานศึกษาใดทำถึงครับ</span> <span lang="TH"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: left;">
<br /></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: center;">
</div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: left; text-indent: 0.5in;">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK","sans-serif"; font-size: 20.0pt;">คราวหน้าจะมาเล่าสถานศึกษาแต่ละแห่งที่ไปพบมา
เพื่อเป็นตัวอย่างของการพัฒนาส่งเสริมจริยธรรมคุณธรรมแก่ผู้สนใจได้บ้าง<o:p></o:p></span></div>
ทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-67121209360679052592014-06-10T05:29:00.002-07:002014-06-10T05:30:36.168-07:00ศาสนา คือ อะไรกันแน่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือที่พึ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ?<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgHWiYyKM7Eqjw7UkVDrNrnhWEXJVODKvNziujJv-6qrnahSOy4MDynYnSkQ9lVcwXnmywqBFVbX9fhMulHKPSeiR0xG7-VI3E5ZH0QuSxrq-3WMKPSteVDlXahPaeM-Tag2hI0aFxI4swW/s1600/001.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgHWiYyKM7Eqjw7UkVDrNrnhWEXJVODKvNziujJv-6qrnahSOy4MDynYnSkQ9lVcwXnmywqBFVbX9fhMulHKPSeiR0xG7-VI3E5ZH0QuSxrq-3WMKPSteVDlXahPaeM-Tag2hI0aFxI4swW/s1600/001.jpg" height="640" width="426" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjA4an_6-bmduOGa28gHIyYm3FzaZwF7zMTBbe05Tkc0zZhGjyEloYCeni9QKOzxLOCSAkiUhnlK47DPIbqgQecu2en5s44tjs4mASdu-JLuWqDR8LQ9Y1VSboT5lpt0pfUzzvcUGeD35jb/s1600/002.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjA4an_6-bmduOGa28gHIyYm3FzaZwF7zMTBbe05Tkc0zZhGjyEloYCeni9QKOzxLOCSAkiUhnlK47DPIbqgQecu2en5s44tjs4mASdu-JLuWqDR8LQ9Y1VSboT5lpt0pfUzzvcUGeD35jb/s1600/002.jpg" height="320" width="226" /></a></div>
<br />ทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-52918886221085845712014-06-02T23:44:00.003-07:002014-06-02T23:44:42.862-07:00วิพากษ์วิจารณ์ การทำวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาไทยวันก่อนผมได้คุยกับสหายทางวิชาการของผม ปรากฏว่ามันไปประสบปัญหาเรื่องสอบวิทยานิพนธ์ปริญญาโทที่เมืองไทยเข้า กรรมการสอบขอแก้เรื่องที่มันทำหลายประเด็น ทั้งๆที่ตอนสอบเค้าโครงก็ผ่านไปด้วยดี แต่พอมาคราวนี้สอบเนื้อหา กรรมการดันย้อนกลับไปรื้อเค้าโครงของมันอีก เลวร้ายกว่านั้น ไอ้เค้าโครงบทต่างๆที่รื้อเป็นส่วนที่บรรดากรรมการทั้งหลายขอให้เขียนเอง ด้วยอึ้งครับ<br />
<br />
ใครเจออย่างนี้คงอึ้งไปตามกันผมไม่แน่ใจว่า การศึกษาระดับปริญญาโทและการทำวิทยานิพนธ์ที่เมืองไทยของคณะอื่นจะเหมือนกับ คณะผมหรือเปล่า ผมเลยขอกล่าวเฉพาะในส่วนของนิติศาสตร์ที่ผมคุ้นเคยแล้วกันปริญญาโท นิติศาสตร์ มธ. เมื่อก่อนเรียนกันมาราธอนมากครับ เรียนครอสเวิร์คหมดนี่ก็เกือบ ๔ ปีได้ ทำวิทยานิพนธ์อีก ๓-๔ ปี หาได้ยากมากครับบนโลกใบนี้ที่เรียนปริญญาโทยาวนานเกือบทศวรรษ<br />
<br />
จน กระทั่งปีการศึกษา ๒๕๔๔ รุ่นที่ผมและเพื่อนเข้าไปเรียนปีแรก ก็มีการเปลี่ยนหลักสูตร เรียนครอสเวิร์คแค่ปีครึ่งหรือ ๓ เทอม จากนั้นก็ลงมือทำวิทยานิพนธ์ รวมระยะเวลาทั้งครอสเวิร์คและวิทยานิพนธ์ต้องไม่เกิน ๔ ปีจากการที่ผมเป็นลูกครึ่งเคยเรียนทั้งโทที่เมืองไทย (แต่ลาออกมาก่อนเพื่อมาเรียนต่อที่นี่) และกำลังทำเอกที่ฝรั่งเศส<br />
<br />
ผมเลยมานั่งคิดๆ มองระบบวิทยานิพนธ์ที่ฝรั่งเศสแล้วย้อนกลับไปดูที่บ้านเรา มีข้อสังเกตและวิพากษ์วิจารณ์ได้หลายประเด็นครับ ตั้งแต่ตัวเนื้อหา ระบบการสอบ ยันการ “จิ้มก้อง” อาจารย์ที่ปรึกษาและกรรมการ<br />
<br />
ประเด็นที่หนึ่ง ระบบการสอบวิทยานิพนธ์การสอบวิทยานิพนธ์ที่เมืองไทยต้องสอบสองรอบ คือ สอบเค้าโครงและสอบตัวเล่ม ส่วนที่ฝรั่งเศส ผมสอบรอบเดียว ปีแรกผมก็วิ่งหาอาจารย์ที่ปรึกษา เสนอว่าผมจะทำหัวข้ออะไร ถ้าอาจารย์ตกลงรับ เราก็ไปลงทะเบียนหลักสูตรปริญญาเอกได้ จากนั้นเราก็ทำงานไปปรึกษากับอาจารย์เราไปเรื่อยๆจนครบสามปี ถ้าปิดเล่มได้ก็ขอสอบ อาจารย์ก็จะหารือกับเราว่าจะตั้งใครเป็นกรรมการบ้าง แล้วก็นัดสอบเพื่อปกป้องวิทยานิพนธ์ของเรา<br />
<br />
ผมเห็นว่าระบบของบ้านเราน่าจะสอบมากเกินไป วิทยานิพนธ์เป็นงานของเราร่วมกับอาจารย์ที่ปรึกษา ระหว่างการทำงานตลอด ๒-๓ ปีนี้ เราก็โดนอาจารย์อัดตลอด ถ้าเค้าเห็นว่างานได้มาตรฐานพอควรก็จะอนุญาตให้ปิดเล่มเพื่อเตรียมสอบ ในทางกลับกันถ้าไม่โอเค เราก็ต้องแก้ไปเรื่อยๆ แต่ที่เมืองไทยกลับเป็นว่าโดนอาจารย์ที่ปรึกษานวดแล้วนวดอีก พอไปสอบเค้าโครง กรรมการดันมาแก้ของเราอีก แก้เสร็จ สอบเล่มรอบที่สอง ไม่พอใจ แก้อีก แก้ไปแก้มา จนบางครั้ง “งาน” ของเราแทบไม่เหลือเนื้อหาที่เราตั้งใจจะทำเลย กลายเป็นเขียนตามใบสั่งกรรมการแก้<br />
<br />
ตามใจกรรมการขนาดนี้ ไม่ใช่วิทยานิพนธ์ของเราแล้วครับ เรียกว่าวิทยานิพนธ์ของ ศ.ดร. อัตตา อีโก้จัด ประธานกรรมการ, รศ.ดร. มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ กรรมการ, รศ.ดร. กูเก่ง อย่าเถียงกู กรรมการ, ผศ.ดร. ไม่ได้อ่าน แต่ขออัด กรรมการ และรศ.ดร.ได้ครับท่าน ดีครับผม อาจารย์ที่ปรึกษา น่าจะเหมาะสมกว่า ถามว่าแล้วยอมแก้ตามทำไม เถียงสิ สู้สิ<br />
<br />
ถ้าโลกแห่งความ ฝัน สหายทางวิชาการของผมมันคงทำไปแล้ว แต่บนโลกหม่นๆ (ของมันในขณะนี้) ก็คงได้แต่นั่งจดๆๆๆ ที่เค้าสั่งให้แก้พร้อมๆกับด่าในใจว่า “แมร่ง... (เติมคำในช่องว่างตามอัธยาศัย) ....”ไม่ต้องเดือดร้อนไปถามเปาบุ้นจิ้นหรอกครับ วิญญูชนอย่างเราๆลองช่ังน้ำหนักดู<br />
<br />
งานที่เราทำมา ๒-๓ ปี แต่กรรมการเอาไปอ่านแค่สัปดาห์เดียว (จริงๆอาจอ่านบนรถระหว่างเดินทางมาสอบ เค้าให้ไปอ่านตั้งหลายสัปดาห์ ดันเอาไปนอนกอดเล่นซะงั้น) มาถึงก็ชี้นิ้วกราดสั่งแก้นั่นแก้นี่ มันเป็นธรรมมั้ย? ปัญหาเบื้องต้นอยู่ที่หน้าที่ของกรรมการสอบวิทยานิพนธ์<br />
<br />
ผมไม่ทราบเหมือนกันว่ามีระเบียบมหาวิทยาลัยข้อไหนที่เขียนหน้าที่ของกรรมการ ไว้หรือไม่ แต่โดยทั่วไปเราเอ่ยคำว่า “กรรมการ” แล้ว ก็จะนึกถึงคนที่มีหน้าที่ในการตัดสินหรือชี้ขาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่เข้าไปล้วงลูกทำหรือแก้ไขในเรื่องนั้นๆเสียเอง<br />
<br />
ยิ่งไปกว่านั้น ผมดูระบบของฝรั่งเศสและลองสอบถามคนที่เคยผ่านสมรภูมิการสอบวิทยานิพนธ์ใน ประเทศอื่นๆแล้วก็ยิ่งงงไปกันใหญ่กับระบบที่บ้านเราเป็นอยู่ ผมพบว่ากรรมการสอบมีหน้าที่ในการสอบเท่านั้น กรรมการจะอัดประเด็นจุดอ่อนหรือที่น่าสงสัยในวิทยานิพนธ์ของเรา แล้วเราก็ต้องอธิบายไป เท่านั้นเองหน้าที่เขา<br />
<br />
แต่...กรรมการ บ้านเราเล่นมีสอบสองครั้ง กรรมการก็เข้ามาแทรกแซงงานของเราตั้งแต่การสอบเค้าโครง ไปตัดนั่นนิด เติมนี่หน่อย พอสอบตัวเล่ม กรรมการยังไม่พอใจ อยากให้แก้อีกเลยลงมติให้ผ่านแบบมีเงื่อนไข (รู้สึกจะมีที่ไทยแลนด์ที่เดียวมั้งครับนี่) เราก็ต้องตามไปแก้อีกรอบ<br />
<br />
ที่สำคัญกรรมการบางคนดันลืมว่าเคยสั่งให้นักศึกษาไปแก้เอง แต่ดันมาอัดนักศึกษาอีกว่าเอามาจากไหนนี่มันประเด็นใหม่ เจอยังงี้เข้าก็หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่เป็นล่ะครับ ถ้าระบบการสอบวิทยานิพนธ์เมืองไทยยังเป็นเช่นนี้ เห็นจะหนีไม่พ้น “งาน” ที่อยู่ในนามของนักศึกษา แต่มีวิญญาณของประธานกรรมการและกรรมการซ่อนอยู่ แล้วระบบความรับผิดชอบในงานจะอยู่ที่ไหนยังน่าสงสัยอยู่ งานในชื่อของเรา แต่ไม่ได้เป็นความคิดเรา<br />
<br />
คนอ่านอยากวิจารณ์ก็ต้องวิจารณ์ “งาน” ของผู้เขียนหาใช่ “งาน” ของกรรมการไม่ มิพักต้องกล่าวถึงวิทยานิพนธ์ประเภท “งานฝาก” ที่กรรมการอยากรู้เลยสั่งให้เขียน กรรมการบางคนสนใจแต่ไม่มีปัญญาเขียนเองหรือมีปัญญาแต่ขี้เกียจก็มา “ฝาก” ให้เด็กค้น แล้วเขียนลงในวิทยานิพนธ์<br />
<br />
กรรมการบางคนทำราว กับว่าวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาเป็นห้องน้ำหรือห้องนอนที่ไว้ใช้สำเร็จความ ใคร่กามกิจทางวิชาการของตนเอง ผมคิดว่าคนที่มีสิทธิในการล้วงลูกวิทยานิพนธ์ของเรามีได้คนเดียวเท่านั้น คือ อาจารย์ที่ปรึกษา เพราะเป็นคนที่ทำงานร่วมกับเรามาตลอดสามถึงสี่ปี แต่ถ้าเราไม่เห็นด้วยก็ยังมีสิทธิสงวนเรื่องที่เราอยากเขียนไว้ในวิทยา นิพนธ์ของเราได้ เพราะในท้ายที่สุด วิทยานิพนธ์นั้นก็ปรากฏในนามของเราตลอด<br />
<br />
การเรียนปริญญาเอกในปีแรกของผม ผมกำหนดประเด็นปัญหาและร่างเค้าโครงละเอียดในวิทยานิพนธ์พร้อมกับหารือ อาจารย์ที่ปรึกษาผมโดยตลอด อาจารย์ย้ำกับผมในทุกครั้งว่าเป็นงานของผม ผมมีเสรีภาพในการประดิษฐ์เค้าโครงของผมได้เต็มที่ แกเพียงแต่เสนอแนะในสิ่งที่แกคิดว่าเหมาะให้ผมรู้เท่านั้น จะเอาหรือไม่เอาอยู่ที่ผม แกบอกผมว่าเราออกแบบเค้าโครงได้หลายรูปแบบ ผมมีอิสระในการคิดได้เต็มที่ หลายครั้งแกก็โอเคตามผม และอีกหลายครั้งผมก็เชื่อตามแก<br />
<br />
ต้องยอมรับว่ามีบางประเด็นที่ผมมองไม่เห็นแต่พอแกพูดขึ้นเท่านั้นแหละ ผมปิ๊งเลยไม่เพียงแต่เนื้องานเท่านั้นที่เรากับอาจารย์ที่ปรึกษาร่วมกันทำ หากยังรวมถึงการตั้งกรรมการสอบอีกด้วย อาจารย์อยากเอาใครมาเป็นกรรมการก็ต้องถามเราก่อน ในขณะเดียวกันอาจารย์เองก็จะแนะนำด้วยว่าใครที่เชี่ยวชาญในเรื่องที่เราทำ และเหมาะมาเป็นกรรมการสอบ<br />
<br />
ย้อนมาดูที่บ้านเราอาจารย์ที่ปรึกษามักจะผูกขาดการทาบทามกรรมการสอบ เหตุผลที่ผมนึกออก มีสามประการ คือ หนึ่ง นักศึกษาเราไม่รู้จักอาจารย์เท่าไรนัก สอง อาจารย์ที่เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่องมีน้อยเต็มที จึงไม่จำเป็นต้องหารือว่าจะตั้งใครเป็นกรรมการดี ยังไงๆกรรมการก็จะวนกันอยู่ที่หน้าเดิมๆ และสาม อาจารย์ที่ปรึกษายึดอำนาจจากเราไปเพื่อลดขั้นตอน เพราะเกรงว่าหากมัวแต่หารือจะเสียเวลาอันมีค่าในการทำวิจัยหาเงินของตนไป<br />
<br />
เมื่อผู้เชี่ยวชาญเรามีน้อยผสมกับอาจารย์ที่ปรึกษาจัดการทาบทามคนที่เค้าสนิท หรือเคารพเป็นการส่วนตัวก็เกิดปัญหาตามมาอีก อาจารย์ที่ปรึกษาแทนที่จะช่วยปกป้องวิทยานิพนธ์เรายามที่กรรมการอัดตอนสอบ แต่กลับนิ่งเฉย ไม่อนาทรร้อนใจ ปล่อยให้กรรมการอัดอย่างเมามัน ยิ่งไปกว่านั้นบางคนยังไปช่วยกรรมการอัดเราอีกด้วยทำไมเป็นเช่นนั้น? ผมคิดว่ามาจากระบบอาวุโสซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของบ้านเราครับ จริงอยู่การเคารพอาวุโสเป็นข้อดีที่เรามีเหนือชาติอื่นๆ แต่บางครั้งมันก็เป็นดาบสองคม เราเคารพมากจนเกินเรียกว่าเคารพ ผู้ใหญ่ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น เถียงไม่ได้ ถึงอยากเถียงก็ไม่ควรเถียง เพราะเถียงไปอาจสร้างความหมั่นไส้ให้แก่บรรดาผู้ใหญ่ที่ถือว่าตนเป็น authority ในด้านนั้นๆ<br />
<br />
ไม่น่าแปลกใจเลยที่อาจารย์ที่ปรึกษาไม่กล้าปกป้องวิทยานิพนธ์ของ นักศึกษา ในเมื่อกรรมการและประธานกรรมการล้วนแล้วแต่เป็น “มาเฟีย” ในสาขานั้นๆ แหม... ขืนอาจารย์ที่ปรึกษาออกรับแทนเด็กก็กลายเป็นการดับอนาคตตัวเองไปสิครับ เพื่อนผมคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า นักเรียนไทยเข้าสอบวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่ฝรั่งเศส กรรมการสอบถามเรื่องที่ลึกมากๆ นักเรียนไทยคนนั้นตอบไม่ได้ งง อึ้ง อาจารย์ที่ปรึกษาออกรับแทนว่า “ผมคิดว่าประเด็นที่ท่านกรรมการถามมานี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับวิทยานิพนธ์ ที่ลูกศิษย์ของผมเท่าไรนัก มันลึกเกินไป ผมขอตอบแทนแล้วกัน...” น่าคิดนะครับว่าประโยคนี้ผมจะมีโอกาสได้ยินจากอาจารย์ที่ปรึกษาของบ้านเรา หรือเปล่า<br />
<br />
<br />
ประเด็นที่สอง เนื้อหาของ วิทยานิพนธ์เท่าที่ผมอ่านวิทยานิพนธ์ในสาขากฎหมายมา เค้าโครงวิทยานิพนธ์ส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบ “สำเร็จรูป” เริ่มจากบทที่ ๑ บทนำ บทที่ ๒ ประวัติศาสตร์ ความเป็นมา พัฒนาการ บทที่ ๓ กฎหมายอังกฤษ บทที่ ๔ กฎหมายอเมริกา บทที่ ๕ กฎหมายฝรั่งเศส บทที่ ๖ กฎหมายเยอรมัน และปิดท้ายที่บทที่ ๗ สรุปปัญหาและข้อเสนอแนะกล่าวเช่นนี้ วิทยานิพนธ์สาขานิติศาสตร์ไทยล้วนแล้วแต่เป็นกฎหมายเปรียบเทียบ (จริงๆไม่ใช่เปรียบเทียบด้วย เป็นการเอาเรื่องนั้นๆ ของกฎหมายหลายๆประเทศมาแปะลงไปมากกว่า คำว่า “กฎหมายเปรียบเทียบ” มีระเบียบวิธีที่ลึกกว่านั้น ไว้มีโอกาสผมจะเล่าให้ฟัง) นอกจากเป็นกฎหมายเปรียบเทียบแล้ว เรายังพบเห็นวิทยานิพนธ์ที่เหมือนเอาเรื่องทางปฏิบัติมาเขียนอยู่ดาษดื่นถาม ว่าวิทยานิพนธ์แบบนี้ผิดมั้ย ? ผมว่าไม่ผิด แต่ไม่ควรเป็นแบบนี้ทั้งหมด<br />
<br />
วิทยานิพนธ์ประเภทคล้ายกับงานวิจัยตามส่วนราชการต่างๆที่จ้างอาจารย์ มหาวิทยาลัยทำ หรือวิทยานิพนธ์ประเภทคล้ายกับเรื่องในทางปฏิบัติ หรือวิทยานิพนธ์ประเภทที่ไม่สะท้อนถึงงานในทางทฤษฎี ผมว่าไม่ควรจะมีมากจนเกินไป เพื่อนผมคนหนึ่งมาหารือกับผมบ่อยครั้งว่าเรื่อง ที่มันทำมีปัญหาอะไรบ้าง มีทางแก้อย่างไร เราจะแก้กฎหมายมาตราไหนดี เราจะเสนอร่างกฎหมายใหม่ๆเพื่อสร้างกลไกใหม่ๆเพื่อแก้ไขปัญหานั้นดีหรือไม่ ผมได้ยินคำถามทำนองนี้บ่อยครั้ง<br />
<br />
คนส่วนใหญ่มักติดขัดที่บทสุดท้ายเรื่องข้อเสนอแนะ คือไม่รู้ว่าจะเสนออะไรดี ผมเห็นว่าถ้านึกไม่ออกก็ไม่จำเป็นต้องเสนอ ข้อเสนอแนะนี่ถ้าไม่มั่นใจ ไม่รัดกุม ผมว่ายิ่งไม่ควรเสนอ นักศึกษามักคิดกันว่าบทสุดท้ายในชื่อว่า “บทสรุปและข้อเสนอแนะ” บังคับให้เราต้องเสนอ “สิ่งใหม่” ที่ไม่เคยมีในวงการกฎหมายมาก่อนลงไปให้มันดูเท่ ดูดี ผมกลับเห็นว่าอันตราย ข้อเสนอที่ไม่ผ่านการกลั่นกรองอย่างรอบคอบ ข้อเสนอที่ไม่ปิดจุดอ่อนให้รัดกุม ข้อเสนอที่อธิบายในทางทฤษฎีไม่ได้เท่าไรนัก ยิ่งจะโดนกรรมการต้อนได้ง่าย (แต่กรรมการบ้านเราอาจไม่สนใจประเด็นนี้ ๕๕๕)<br />
<br />
ผมเห็นว่าถ้าอยากหา “สิ่งใหม่” ควร “ใหม่” ทางทฤษฎีมากกว่า เอาทฤษฎีมาฟาดฟันกัน ซึ่งน่าจะเป็นหน้าที่หลักของวิทยานิพนธ์ในระดับมหาบัณฑิตหรือดุษฎีบัณฑิต ถ้าหาไม่ได้ก็น่าจะเป็นการรวบรวมในเรื่องนั้นๆแล้วนำมาสังเคราะห์ นำมาร้อยเรียงในแง่มุมที่ต่างออกไปแต่ในทางความเป็นจริง<br />
<br />
ลองมองย้อนกลับไปที่วิทยานิพนธ์นิติศาสตร์มหาบัณฑิตตามชั้นหนังสือที่ห้อง สมุดดูสิครับ ผมว่ามีไม่เกินสิบเล่มที่ว่าถึงงานทางทฤษฎี นอกนั้นก็งานเชิงวิจัย งานภาคปฏิบัติ งานที่เอาตำราของบรรดากรรมการมาแปะๆลงไปเมื่อวิทยานิพนธ์นิติศาตร์มหาบัณฑิต ของบ้านเราเป็นกฎหมายเปรียบเทียบ(แบบแปะของเค้ามา) ห้าถึงหกประเทศผสมกับงานเชิงวิจัยแบบที่ส่วนราชการนิยมจ้างให้ทำ จึงไม่น่าแปลกใจหากเราจะเห็นบทสรุปและข้อเสนอแนะว่า...๑. กฎหมายประเทศ ....บลา บลา บลา..... ว่าอย่างนี้ ๒. กฎหมายไทยยังไม่มีเหมือนที่ประเทศ ....บลา บลา บลา....มี ๓. จึงเสนอว่า ประเทศไทยควรเอาอย่างที่ประเทศ .....บลา บลา บลา....... มีมาใช้เสียเอวังด้วยประการฉะนี้ง่ายมั้ยครับ<br />
<br />
ประเด็นที่สาม คุณภาพของนักศึกษาและการอุทิศตนของอาจารย์ผมขอสวมวิญญาณคุณปริเยศภาคไม่ไว้หน้าใคร เพื่อที่จะบอกว่า นักศึกษาในระดับมหาบัณฑิตในคณะผมที่มีคุณภาพควรค่าแก่การเรียนระดับมหาบัณฑิตนั้นมีน้อยจนเรียกได้ว่านับหัวได้ แต่จะไปโทษนักศึกษาก็ไม่ถูกนัก ในเมื่อบ้านเรามีตลาดแรงงานที่ขึ้นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา ใครได้ปริญญาโท ปริญญาเอก เงินเดือนยิ่งเยอะ เช่นนี้ยิ่งทำให้ปรัชญาการศึกษาระดับสูงมั่วไปหมด <br />
<br />
จากเดิมที่การศึกษาระดับมหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิตเป็นการศึกษาเชิงลึกใน เรื่องเฉพาะ เพื่อผลิตคนไปเป็นนักวิชาการในด้านนั้นๆกลายเป็นการศึกษาเพื่อเอาไปขึ้นเงินเดือน หรือเพื่อฆ่าเวลาเพราะจบตรีมาแล้วยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดี หรือเพื่อเรียนตามที่พ่อแม่สั่ง หรือเพื่อเรียนตามเพื่อนๆ ฯลฯ จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะไม่ค่อยพบนักศึกษาปริญญาโทที่มีฉันทะทางวิชาการ ที่มุ่งมาดปรารถนาไปเป็นนักวิชาการ ที่มีนิสัยชอบค้นคว้าและขีดเขียน ที่มีนิสัยชอบคิดและถกเถียง<br />
<br />
กลับกัน เราจะพบแต่นักศึกษาปริญญาโท ปริญญาเอกที่เข้ามาเรียนไปเพื่อเอาวุฒิปริญญาเพื่อไปใช้ สอบผู้ช่วยผู้พิพากษา “สนามเล็ก” ที่เปิดรับแต่พวกมหาบัณฑิตทำให้คู่แข่งมีน้อยลงเมื่อตลาดเป็นแบบนี้ คณะต่างๆก็หนีไม่พ้นในการปรับตัวเข้ากับตลาด แย่งกันเปิดสารพัดหลักสูตร สารพัดโครงการ เพื่อดึงดูดใจนักศึกษาที่เป็นเหมือน “ลูกค้า” ในมหาวิทยาลัย “แม็คโดนัลด์”<br />
<br />
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นักศึกษาที่มาเรียนแบบมีเป้าหมายแค่เอา “กระดาษแผ่นเดียว” จะไม่ทุ่มเทค้นคว้า ขีดเขียน ในวิทยานิพนธ์ของตนเองเท่าไรนัก ขอเพียงเอาตัวรอดเพื่อได้กระดาษแผ่นนั้น ทุกอย่างก็เสร็จสมอารมณ์หมาย ไม่เพียงแต่คุณภาพของนักศึกษาเท่านั้น ตัวอาจารย์เองก็เช่นกัน อาจารย์ที่อุทิศตนให้กับวิทยานิพนธ์ของนักศึกษามีน้อยมาก นักศึกษาอู้ ขี้เกียจไม่หมั่นติดต่อาจารย์ ผิดที่ตัวนักศึกษาเอง แต่...จะให้นักศึกษาวิ่งรอกหาอาจารย์ทุกวันโดยไม่ต้องทำมาหากินอย่างอื่น แบบนี้เห็นทีจะไม่ไหวเหมือนกัน ธรรมเนียมของเราไม่นิยมให้นักศึกษาติดต่อกับอาจารย์ บางคนอาจให้เด็กติดต่อทางอีเมล์ แล้วเกิดพี่ท่านไม่เปิด หรือเปิดแล้วไม่ตอบล่ะครับ ผมว่าไม่น่าแปลกนะกับการอนุญาตให้เด็กโทรมาหาเพื่อนัดคุยกันเรื่องงาน <br />
<br />
ทุกวันนี้ผมก็โทรนัดอาจารย์ที่ปรึกษาผมตลอด แรกๆก็ไม่ค่อยกล้า จนอาจารย์ผมงงว่าทำไม ผมเลยอธิบายไปว่าบ้านผมไม่ค่อยมีเท่าไรที่ผมเรียกร้องการอุทิศตนจากอาจารย์ ไม่ได้หมายความถึงขนาดที่ว่าอาจารย์ต้องนั่งเฝ้าคณะทุกวัน ขอเพียงเจียดเวลาอันมีค่าจากงานวิจัยทั้งหลายเพื่อมาคุยกับเด็กในเรื่องวิทยานิพนธ์สักนิดก็พอครับ ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยแล้วมาเร่งเอาสองสามเดือนสุดท้ายเอาเข้าจริง <br />
<br />
บ่นๆไปก็หนีไม่พ้นไปพัวพันกับเรื่องค่าตอบแทนของอาจารย์อีก อาจารย์ต้องกินต้องใช้เหมือนคนทั่วๆไป เงินเดือนสองถึงสามหมื่นเศษๆ คงไม่พอยาไส้กับชีวิตเมืองหลวง ไหนจะลูกจะเมีย ก็ต้องออกไป “ขุดเงิน” เอากับงานวิจัยบ้างเป็นแบบนี้ จะไปบ่นอะไรได้ครับเช่นนี้แล้ว เราคงไม่อาจคาดหวังงานชั้นดีจากวิทยานิพนธ์ที่ทั้งลูกศิษย์ทั้งอาจารย์มา เร่งเอาสองเดือนสุดท้ายได้กระมังครับ................<br />
<br />
ผมวิพากษ์การทำวิทยา นิพนธ์ไทยยาวมาก มานั่งนึกๆดู ผมเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตถ้าผมมีโอกาสไปเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว ผมจะทำอย่างไร ในเมื่อระบบมันเป็นเช่นนี้ คนตัวเล็กๆมีแค่สองมือเปล่าอย่างผมจะไปต้านทานระบบที่เก่าแก่และฝังรากลึก ได้เท่าไรกันเชียว ได้แต่หวังว่าผมจะยืนอยู่ในระบบนี้ได้โดยไม่โดนกลืนเข้าไปด้วย ถ้าถึงวันหนึ่งผมถูกกลืนเข้าไป หากใครพบเห็น ขอความกรุณาเตะก้นแรงๆให้ผมรู้ตัวละกัน จักเป็นพระคุณอย่างสูงเอาเข้าจริง<br />
<br />
ที่ผมร่ายยาวมาทั้งหมดมันก็เป็นปัญหางูกินหาง พันกันไปมาไม่รู้จบ ตั้งแต่ระบบการสอบ การประนีประนอมสไตล์ “ไทยๆ” ความอาวุโส การตั้งตนเป็น authority ในสาขาต่างๆ คุณภาพนักศึกษา ระบบการศึกษาระดับสูง ภารกิจของมหาวิทยาลัย ภารกิจของการศึกษาระดับสูง ค่าตอบแทนอาจารย์ เวลาที่อาจารย์มีให้กับนักศึกษา ตลาดแรงงาน ฯลฯ ไล่ไปเรื่อยๆสงสัยจะไม่จบครับ เฮ้อ...น่าจะถึงเวลาที่ต้องคิดดังๆเสียทีว่า มหาวิทยาลัยควรเป็นโรงงานผลิตปริญญาบัตรที่มีลานวิ่งเล่นให้ลูกของชนชั้น กลาง (ส่วนใหญ่) หรือเป็นแหล่งบ่มเพาะทางปัญญากันแน่<br />
<br />
เขียนโดย ETAT DE DROIT เมื่อ 5/19/2548 06:15:00 ก่อนเที่ยง วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 19, 2548<br />
ท่านผู้ใดสนใจอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://etatdedroit.blogspot.com/2005/05/blog-post_18.htmlทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-17004632525029962222014-06-02T23:18:00.002-07:002014-06-02T23:18:24.319-07:00ความสับสนในระบบคิดของคนไทยทางการเมืองคนไทยทุกวันนี้กำลังสับสนว่า สังคมที่ดีควรเป็นอย่างไร ควรมีรูปแบบสังคมแบบไหนกันดี<br />
<br />
ไม่อยากเป็นสังคมประชาธิปไตย เพราะกลัวว่าจะได้แต่คนโกง คนซื้อเสียง นักการเมืองเลวๆ<br />
<br />
ไม่อยากเป็นสังคมนิยม เพราะกลัวว่าจะต้องเอาผลผลิตที่ได้ไปให้กองกลาง ทั้งที่ตัวเองทำงานมากกว่า เหนื่อยกว่า ลงทุนลงแรงมากกว่า<br />
<br />
ไม่อยากเป็นรัฐเผด็จการ เพราะกลัวว่าตัวเองจะต้องอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว ไม่รู้ว่าตัวเองจะตายหรือถูกกลั่นแกล้งเมื่อไหร่ จะไม่ได้รับความเป็นธรรมเมื่อขัดแย้งกับคนอื่นๆ หรือกับพวกมีอำนาจ<br />
<br />
ไม่อยากเป็นรัฐที่ปกครองจากคนๆคนเดียว หรือคนกลุ่มเดียว เพราะกลัวว่าตัวเองจะก้าวหน้าไม่ได้ ประสบความสำเร็จไม่ได้ เนื่องจากข้ามหน้าข้ามตาผู้ปกครอง และก็กลัวว่าจะถูกผู้ปกครองกดขี่ข่มเหง เบียดเบียนอยู่เป็นประจำ และก็ไม่เชื่อว่าลูกหลานของผู้ปกครองจะดีจริงเหมือนรุ่นพ่อหรือไม่ กลัวว่าจะเหลวไหล ฟุ้งเฟ้อ มัวเมาอำนาจมากขึ้น<br />
<br />
ที่จริงไม่มีสังคมรูปแบบไหนดีที่สุด ทุกรูปแบบก็มีทั้งจุดที่เด่นที่ส่งเสริมการพัฒนาให้ดีได้ส่วนหนึ่ง และก็มีจุดที่ก่อปัญหาตามมาก็อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งทุกท่านถ้าได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของแต่ละชาติ ก็จะตระหนักดีถึงข้อนี้ จึงไม่สามารถสรุปได้ว่าอะไรดีที่สุด ที่จะยึดมาเป็นต้นแบบได้ตลอดกาล การที่สังคมขัดแย้งทางความคิด และต่อสู้กันเพื่อสร้างสังคมตามรูปแบบของตัวเอง จริงๆแล้วก็ไม่มีใครผิดใครถูกหรอกครับ ทุกคนอยากเห็นชาติบ้านเมืองดีด้วยกันทั้งนั้นตามที่ตัวเองคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิด และเชื่อมั่นนั้นดีที่สุด<br />
<br />
แต่ที่ไม่ดี ก่อปัญหามากมายให้สังคมไทยทุกวันนี้ ก็คือ การที่บอกว่าสังคมไทยมีการปกครองในรูปแบบประชาธิปไตย แต่กลับไม่ยอมเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยจริง อยากหันไปเอาระบอบราชาธิปไตยบ้าง ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชบ้าง ระบอบอภิสิทธิชนาธิปไตยบ้าง (ระบอบที่เชื่อว่าผู้ปกครองต้องมาจากชนชั้นสูง และชนชั้นสูงเป็นคนดี) ระบอบเผด็จการทหารบ้าง แล้วลงมือดำเนินการตามความคิดที่เชื่อมั่น ใครขวางข้าตาย สังคมไทยจึงวุ่นวายมาถึงทุกวันนี้ เพราะคนไทยกลุ่มหนึ่งอยากได้คนดีจริงๆมาเป็นผู้นำ ผู้ปกครองประเทศ<br />
<br />
ซึ่งสังคมอุดมคติของคนไทยที่อยากได้ ก็คือ สังคมแบบพระศรีอาริย์ ที่ทุกคนมีความสุข ไม่ต้องแก่งแย่งแข่งขัน ไม่ต้องฆ่าฟันกัน ทำร้ายกัน ไม่มีโจรขโมย ไม่ดื่มสุรายาเมาจนขาดสติ ออกจากบ้านไปไหนก็ไม่ต้องหวาดกลัว ทุกคนเป็นคนดีหมด<br />
<br />
พูดง่ายๆคนไทยอยากได้ผู้นำเป็นคนดี พ่อแม่ดี ลูกดี ครูดี ศิษย์ดี พี่ดี น้องดี ญาติดี นายจ้างดี ลูกจ้างดี สรุปแล้วดีหมด แต่นี่เป็นโลกอุดมคติ จะมีจริงหรือไม่ก็ไม่รู้<br />
<br />
แต่ที่แน่ๆ โลกแห่งความจริง ไม่มีใครในโลกดีพร้อมหมด สมบูรณ์หมด ที่อวดว่าดีก็มักสร้างภาพ ไม่ดีจริง<br />
<br />
ดังนั้นจะคุยเรื่องการเมืองที่ดีควรเป็นอย่างไร ควรมีรูปแบบแบบไหนต้องตอบคำถามก่อนว่า ทั้งเราและคนอื่นๆ เห็นตรงกันหรือยังว่าสังคมที่ดีควรเป็นสังคมแบบไหน ควรอยู่กันแบบไหน และผู้นำในสังคมที่เราคิดว่าควรเป็นแบบนั้น ควรมาจากใคร โดยวิธีใด<br />
<br />
ถ้าตอบอย่างเชื่อมั่นว่า “แบบราชาธิปไตย” หรือแบบสมบูรณาญาสิทธิราชจากการสืบทอดทางวงศ์ตระกูลดีกว่าเพราะแผ่นดินนี้เป็นของเขา ตระกูลเขา บรรพบุรุษของเขาเป็นผู้สร้าง และอีกประการหนึ่งวงศ์ตระกูลเขาสูงส่ง เขาเป็นลูกพระอาทิตย์ สืบเชื้อสายจากเทวดา เป็นผู้ดีมีชาติสกุล มีกำเนิดจากเชื้อสายที่ดีที่บริสุทธิ์มาแสนนานเขาเท่านั้นที่ควรเป็นผู้กำหนดสังคม หรือชี้นำสังคมเพราะเขา “ดีจริง”<br />
<br />
ถ้าคิดแบบนี้ ก็เป็นอันไม่ต้องควรเข้าไปคุยกับพวกพระพวกนักบวชในศาสนาพุทธหรอกเพราะพระพุทธศาสนาไม่เคยเชื่อว่า มีคนดีจริงแต่กำเนิดหรือตระกูลใดตระกูลหนึ่งจะสูงส่ง และดีตลอดกาลเพราะไม่ว่าวรรณะกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ก็ล้วนกำเนิดจากโยนิที่สกปรกของผู้เป็นมารดา ไม่ได้มาจากพระพรหมอย่างที่พวกวรรณะสูงๆเชื่อแต่อย่างใดและแผ่นดินต่างๆ เดิมก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของ มีแต่ไปแย่งเขามาใช้อำนาจข่มเหง ข่มขู่เขาให้ยอมอยู่ในอำนาจการปกครองของตัวเองเท่านั้น ประวัติศาสตร์ทุกชาติทุกเผ่าก็เป็นอย่างนั้น<br />
<br />
ทุกๆวันนี้ แล้วใครล่ะที่พยายามกลั่นแกล้ง กดขี่ บังคับพวกอื่นให้เคารพเชื่อฟัง ให้ยอมเขาแต่เพียงผู้เดียว ใครมาดีกว่า รวยกว่าเขาไม่ได้ กระทั่งที่ตนเองเขียนกฎกติกาเพื่อตัวเอง พวกตัวเองให้ได้เปรียบคนอื่นๆทุกด้านแถมยังกีดกัน ข่มเหงคนอื่น ไม่ให้ประสบความสำเร็จแท้ๆ ก็ยังไม่สามารถทำได้ดังใจ จึงต้องอาละวาดล้างไพ่ อยากให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่ตัวเองต้องการอยู่เสมอ (นี่ก็ 18 ครั้งแล้ว)<br />
<br />
ถ้าทำได้สำเร็จ คราวนี้คงเขียนกติกาว่าคนอื่นห้ามยุ่ง ต้องพวกกูเท่านั้นที่เป็นได้ เพราะพวกกูตระกูลกูเป็นเทวดา ที่”แสนดี”เป็นคนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดีกว่าพวกแก (ไพร่) คนพวกนี้นี่แหละ ที่เขาเรียกว่าเป็นพวกอำมาตย์<br />
<br />
จะเอากันอย่างนี้ใช่ไหม ถึงจะเรียกว่าเป็นสังคมอารยชน แล้วจะสงบสุขหรือ ประวัติศาสตร์ทุกชาติที่ผ่านมา ยังไม่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ อีกหรือครับทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-21618772715066639562014-06-02T23:17:00.003-07:002014-06-02T23:17:41.856-07:00ครอบครัวแบบไหน สังคมแบบนั้นสภาพของสังคมบ้านเมือง หรือประเทศ ถ้าย่อให้เล็กลงก็เหมือนกับสภาพในครอบครัวของแต่ละคนนั่นเอง<br />
<br />
ถ้าพ่อแม่เห็นลูกเป็น “คน” ที่สามารถเติบโตด้วยตนเองได้ พึ่งตนเองได้ ยอมให้ลูกๆ ได้เรียนรู้ถูกผิดดีชั่วจากประสบการณ์ของเด็ก หัดให้รู้จักรับผิดชอบในชีวิตตนเอง พ่อแม่เพียงแต่ใจเย็น มีสติ เป็นที่ปรึกษา สอนให้มีเป้าหมายในชีวิตด้วยตนเอง รู้จักสิทธิและหน้าที่ หัดให้ยอมรับข้อจำกัดขอบเขตของชีวิต และคอยระมัดระวังไม่ให้ได้รับภัยอันตรายมากไปนัก ครอบครัวแบบนี้ก็จะกลายเป็นคนที่เชื่อมั่นนิยมใน "ระบอบประชาธิปไตย หรือศรัทธาตามแนวทางพระพุทธศาสนา"<br />
<br />
แต่...ถ้าพ่อแม่เห็นลูกเป็น “เทวดา” ที่ควรได้รับแต่สิ่งดีๆ ทุกอย่างในชีวิต ไม่ควรเจอสิ่งเลวร้าย หรือภัยอันตรายใดๆ ไม่อยากให้ลูกเรียนรู้จากประสบการณ์ ควรเรียนรู้ทุกอย่างจากพ่อแม่ เชื่อฟังพ่อแม่ และพ่อแม่ก็พยายามปกป้อง คอยเอาใจใส่ดูแลลูกทุกย่างก้าวที่เติบโต สภาพครอบครัวแบบนี้ก็จะนิยมใน "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช"<br />
<br />
แต่...ถ้าพ่อแม่เห็นลูกเป็น “เด็ก” เสมอ และไม่สามารถเติบโตด้วยตนเองได้ พ่อแม่จึงต้องคอยดูแล ควบคุม กำกับให้ลูกทำตามความคิดของตน หรือตามกรอบประเพณี เพื่อให้ลูกเป็นไปตามที่ตนเองหวัง หรือคิดว่าสิ่งนั้นถูกต้อง ดีจริง ถ้าลูกไม่เชื่อฟังก็จะลงโทษ ดุด่า เฆี่ยนตีเพื่อให้เกรงกลัว หรือหลาบจำ ไม่กล้าฝืนใจพ่อแม่อีก สภาพครอบครัวแบบนี้ก็จะนิยมใน "ระบอบเผด็จการ"<br />
<br />
แต่...ถ้าพ่อแม่เห็นลูกเป็น “สิ่งวิเศษ” ที่จุติมาหรือสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษ “วิเศษ” พ่อแม่ก็จะส่งเสริมให้ลูกดีกว่าใคร เหนือกว่าใคร วิเศษกว่าใคร สอนให้มองเห็นว่าทุกชีวิตที่เห็นไม่ว่าคนหรือสัตว์ ล้วนเป็นไพร่ หรือเป็นสัตว์ชั้นต่ำ ที่ทำอะไรผิดไปหมด ตัวเองถูกต้อง หรือเป็นคนดีแต่เพียงผู้เดียว หรือพวกเดียว ทุกคนต้องยอมฉัน ฉันสามารถพิพากษาชีวิตใครก็ได้ และถ้าใครขวางเส้นทางชีวิต หรือทำให้ชีวิต ”ผู้วิเศษ” ไม่ราบรื่น ต้องจัดการทำลายล้างให้หมดไปจากชีวิตหรือสังคมของฉัน สภาพครอบครัวแบบนี้ก็จะกลายเป็นพวกนิยม "ระบอบอัตตาธิปไตย" หรือพวก "อภิสิทธิชนาธิปไตย"<br />
<br />
เห็นสังคมไทยตอนนี้หรือยังครับว่า ใครเป็นใคร นิยมระบอบไหน และที่สร้างความวุ่นวายกันอยู่ในสังคมไทยตอนนี้ เป็นพวกนิยมระบอบอะไร เห็นชัดไหมครับ<br />
<br />
แล้ว…ท่านล่ะอยากให้สังคมไทย ครอบครัวไทยเป็นแบบไหนกันครับทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-68414771337258153932014-06-02T23:17:00.000-07:002014-06-02T23:17:09.724-07:00ทำไม ? คนไทยจึงเชื่อง่ายโดยปกติแล้วคนเรามีแนวโน้มจะเชื่อเรื่องดีๆ ของฝ่ายเราเอง แม้ว่ามันจะเป็นการโกหก และเลือกที่จะเชื่อเรื่องชั่วๆของฝ่ายตรงข้ามแม้ว่าจะเป็นการโกหก โดยไม่ยอมใช้เหตุผล ไม่ยอมใช้วิจารณญาณในการไตร่ตรองใดๆ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?<br />
<br />
<br />
ตามหลักจิตวิทยาแล้ว เป็นเพราะคนเรากลัวความจริง กลัวว่าความจริงจะไม่เป็นแบบที่ตัวเองคิด ตัวเองจะเชื่อและเปลี่ยนความเชื่อตาม ซึ่งจะทำให้ "ตัวตน" ของตัวเองเสียไป คนเรากลัวเสียตัวเอง กลัวเสียหน้า (ศักดิ์ศรี) มากที่สุด<br />
<br />
<br />
คนไทยมีแนวโน้มที่จะเป็นอย่างนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ดูง่ายๆจากประเด็นทางการเมืองและทางศาสนา ซึ่งเห็นกันได้ชัดเจน เช่น<br />
<br />
<br />
ทางการเมือง เราเชื่อข่าวที่มั่วเอา เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ไตร่ตรอง เราเชื่อข้อมูลมั่วๆของนักการเมืองเพื่อให้ตัวเองดูดี เราเชื่อเพราะเราไม่อยากสูญเสียหน้าตาและตัวตนที่เราเชื่อ เราไม่ใช้เหตุผลกับการเชื่อของเรา<br />
<br />
<br />
ทางศาสนา เราเลือกหลับหูหลับตาเวลาเห็นพระทำอะไรไม่ดี เช่น พระยุยงให้คนฆ่ากัน เกลียดชังอีกฝ่าย เรามักบอกคนทำข่าวผิดที่ลงข่าวเรื่องพระมั่วกับสีกา นั่งเครื่องบินเจ็ท ขี่รถหรู ขายบุญจนร่ำรวย เราบอกคนที่ไม่เห็นด้วยและพยายามตีแผ่เรื่องพวกนี้ ว่าเป็นพวกทำลายศาสนา<br />
<br />
<br />
เราเลือกที่จะไม่รับความจริง เพราะกลัวจะสูญเสียตัวเองที่เป็นมา ไม่กล้ารับความจริงที่เป็นความจริงๆ ติดอยู่กับความจริงของตัวเอง <br />
<br />
<br />
สังคมเรามันถึงได้บิดเบี้ยว เพราะคนเราไม่ได้ใช้เหตุผลแต่ใช้อารมณ์และความรู้สึกมาชี้นำตัวเองมากเกินไป ทางพุทธศาสนา จึงบอกว่าแบบนี้ คือ พวกไม่มีปัญญา<br />
<br />
<br />
จริงๆไม่ได้ยากอะไรเลย ที่เราจะใช้เหตุผลกับเรื่องต่างๆ แค่ตั้งคำถามกับเรื่องต่างๆ คำถามง่ายๆ เช่น ว่าจริงรึเปล่า? หาข้อมูลสักหน่อย คุณก็จะได้ความจริงมาเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจว่าอะไรดีหรือไม่ ควรหรือไม่ควร<br />
<br />
<br />
ถ้าคนไทยลดการใช้อารมณ์มาเป็นตัวตัดสิน ใช้เหตุผลและหลักฐานตามความจริงมาพูดกัน เราจะได้สังคมที่พัฒนาไปมากกว่านี้ <br />
<br />
<br />
(จากเพจที่เห็นและเป็นอยู่)ทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-44458823742260720182014-06-02T23:16:00.001-07:002014-06-02T23:16:21.051-07:00หนังสือ : ชีวิตในโลกนี้ ถ้าเปรียบชีวิตเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง<br />
จะเห็นว่าความจริงแล้วไม่มีหน้าหนึ่งสีดำ(คนไม่ดี) หน้าหนึ่งสีขาว(คนดี)<br />
และไม่มีเส้นกึ่งกลางกั้นแบ่งขาวดำ (คนเกือบดีเกือบชั่ว)<br />
เพราะทุกหน้า มีทุกสีอยู่ในหน้าเดียวกัน<br />
<br />
<br />
แต่ถ้ามีหนังสือชีวิตเล่มใด มีหน้าหนึ่งสีดำ หน้าหนึ่งสีขาว<br />
หรือมีเพียงสีใดสีหนึ่งเพียงสีเดียวแสดงว่า<br />
หนังสือชีวิตเล่มนั้นถูกบิดเบือนความจริง (สร้างภาพ)<br />
<br />
<br />
แต่มีความเป็นไปได้เหมือนกัน(น้อยมาก)ในอนาคต<br />
ที่หนังสือชีวิตเล่มนั้นอาจจะมีสีใดสีหนึ่งเจือจางลง<br />
ไปเข้มที่สีอื่น กลายเป็นสีใดสีหนึ่งขึ้นทีละน้อย<br />
จนสีนั้นโดดเด่นกว่าสีอื่นทุกหน้าก็เป็นได้<br />
แต่ถ้าเหลือบมองดูดีๆ ก็อาจจะเห็นสีอื่นแทรกปะปนอยู่ดี<br />
<br />
<br />
หรือหนังสือชีวิตเล่มนั้น<br />
อาจจะทุกสีเจือจางลง<br />
จนเหลือแต่กระดาษที่ว่างเปล่าในที่สุด ก็เป็นไปได้<br />
<br />
<br />
แต่...จะไม่มีทางเป็นไปได้ที่หนังสือชีวิต<br />
จะหน้าหนึ่งสีดำหน้าหนึ่งสีขาว แต่ประการใดๆทั้งปวง<br />
<br />
<br />
รู้อย่างนี้แล้ว ทำไมคนทั่วไป<br />
ส่วนมากยังอยากเห็นหนังสือชีวิต <br />
บางเล่มบางหน้ามีแต่สีดำ หรือสีขาว<br />
เพียงอย่างเดียว<br />
(ดีนะที่ไม่ยกสีเหลือง สีแดงมาเอ่ยถึง)<br />
<br />
<br />
เข้าใจผิด หลงผิดตัวคนเดียวไม่พอ<br />
ทำไมต้องอยากให้คนอื่นเข้าใจผิด หลงผิดตามไปด้วย<br />
<br />
<br />
หรือว่า...ทุกคน พอๆ...กันทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-87766706003092301202014-06-02T23:15:00.002-07:002024-03-25T02:19:11.900-07:00ผมไม่ใช่พวก "เสื้อแดง" เพราะผมเป็น "ชาวพุทธ" 2ผมไม่ใช่พวกเสื้อแดง และพวกใดๆ<br />
<br />
เพราะ "....ผมเป็นชาวพุทธ ทั้งหัวใจ จิต วิญญาณ...."<br />
เพราะ "....ผมเชื่อมั่นในหลักคำสอนของพระพุทธองค์ทุกอย่าง...."<br />
เพราะ "....ผมเชื่อมั่นในการเวียนว่ายตายเกิด และกฎแห่งกรรม...." <br />
<br />
<br />
และ<br />
<br />
เพราะว่า....พระพุทธเจ้าของผมสอนว่า<br />
“...ไม่มีใครดีเพราะเกิดมาจากตระกูลใดตระกูลหนึ่ง หรือเชื้อสายใดเชื้อสายหนึ่ง หรือพันธุ์ใดพันธ์ุหนึ่ง”<br />
“...ทุกคนจะเป็นคนดี หรือคนชั่ว เพราะการกระทำ และจิตใจของเขา, ถ้าเขาได้รับการฝึกฝนให้มีสติปัญญาเข้าถึงธรรมะ(ความจริง)ได้ เขาก็เป็นคนสุจริต หรือบัณฑิตชน, แต่ถ้าเขาปล่อยให้ชีวิตและจิตใจทำตามกิเลส โลภ โกรธ หลง เขาก็เป็นคนทุจริต หรือพาลชน”<br />
<br />
<br />
ถ้าท่านเชื่อว่า “คนที่เลว หรือชั่ว เพราะใจผู้นั้นมีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง” แล้วในขณะเดียวกันท่านก็อยากให้สังคมมีแต่คนดี ไม่มีคนชั่ว, ท่านคงต้องฆ่าล้างมนุษย์ให้หมดๆไปจากโลกนี้ เนื่องจากมนุษย์ทุกคนล้วนมีความโลภ ความโกรธ ความหลงด้วยกันทั้งนั้น คงไม่มีทั้งผมและท่านหรอก เพราะเราท่านต่างก็เคยทำสิ่งที่ผิดพลาดพลั้งเผลอทำตามกิเลสตัณหามาด้วยกันทั้งนั้นในอดีต อาจจะในปัจจุบัน หรือต่อเนื่องไปในอนาคตอีกด้วย<br />
<br />
<br />
ผมจึงไม่เชื่อว่า “เราจะขจัดคนเลวให้หมดไปจากประเทศไทยได้ หรือไม่ให้มีคนเลวในสังคม ให้มีแต่คนดีพวกเดียว ” ได้อย่างแน่นอน<br />
<br />
<br />
ผมจึงเชื่อว่าไม่มีการปกครอง หรือวิธีการใดวิธีการหนึ่งที่จะทำให้บ้านเมือง หรือสังคม หรือประเทศชาติมีแต่ความสงบสุข ไม่มีคนเลวมาอยู่ร่วมด้วย หรือจะพยายามหา "คนดี" มาเป็นผู้ปกครองบริหารบ้านเมือง เพื่อไม่ให้คนเลวมาก่อความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นได้อย่างถาวร<br />
<br />
<br />
ผมเชื่อ และยอมรับว่าทุกรูปแบบการปกครองมีจุดเด่น จุดบกพร่องด้วยกันทั้งนั้น <br />
<br />
<br />
แต่...ผมเห็นว่าระบอบประชาธิปไตย (Democracy) เป็นระบอบที่ดีมากกว่าทุกระบอบการปกครองที่มีอยู่ในปัจจุบัน สำหรับ "คน" และ "สังคมของคน"<br />
<br />
เพราะเรา<br />
<br />
1. สามารถที่จะเปลี่ยน “ตัวแทน” ได้ทุกๆ 4 หรือ 5 ปี<br />
2. สามารถที่จะเปลี่ยน “ตัวแทน” โดยไม่ต้องฆ่าฟันกัน <br />
3. จะทำให้ไม่มีใครสามารถกดขี่ ขูดรีด ทารุณกรรมต่อประชาชนได้เป็นเวลานานๆ<br />
4. จะทำให้ไม่มีใครมาเอาประชาชนเป็น "ขี้ข้า" หรือ "พลเมืองชั้นสอง" ตลอดชีวิต <br />
5. จะทำให้ไม่มีใคร "หลงติด" หรือ "มัวเมา" อำนาจได้เป็นเวลานาน <br />
6. จะทำให้ไม่มีใครกอบโกยผลประโยชน์ไปให้แก่ลูกหลาน พวกพ้องได้อย่างเต็มที่ <br />
7. จะทำให้สามารถตรวจสอบการทำงานของ ตัวแทน” ได้ทุกเมื่อ ทุกเวลา<br />
<br />
แต่จุดอ่อนของระบอบประชาธิปไตย นั้น อยู่ที่<br />
<br />
1. ตัวแทนของประชาชน อาจจะไม่ได้ เป็น"ตัวแทนที่ดี" ตามความต้องการที่แท้จริงของประชาชน เนื่องจากการเบี่ยงเบนผลการเลือกตั้ง ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การซื้อเสียง การโกงการเลือกตั้ง การข่มขู่ของผู้มีอิทธิพล เป็นต้น <br />
<br />
2. ตัวแทนของประชาชน อาจตัดสินใจประการใดประการหนึ่ง ที่จะเป็นการเอื้อต่อกลุ่มผลประโยชน์ และหรือสร้างความเสียหายแก่ชุมชนท้องถิ่น เพราะขาดความสำนึกเกี่ยวกับการเป็นตัวแทนของปวงชน<br />
<br />
<br />
เพื่อนๆ ครับ<br />
<br />
ถ้า....ท่านสามารถหาระบอบการปกครองที่ดีสุดกว่าระบอบประชาธิปไตยมาได้ ผมก็พร้อมยินดีอยู่ร่วมกับระบอบการปกครองแบบนั้นโดยไม่เกี่ยงงอน หรือคัดค้านแต่อย่างใด<br />
<br />
<br />
ขออย่างเดียว ท่านช่วยพยายามทำให้ทั้ง “พวกกู และ พวกมึง” อยู่ด้วยกันได้อย่างสันติ ไม่เอาเปรียบกัน ไม่เข้าข้างพวกใดพวกหนึ่ง ประเภทพวกหนึ่งทำได้ทุกอย่างถูกหมด อีกพวกทำอะไรก็ผิดหมด ช่วยทำให้ยุติธรรมเท่ากันหน่อย<br />
<br />
<br />
ท่านไม่ต้องทำให้ “ พวกกู และ พวกมึง” หายไปหรอกครับ เพราะอย่างไรๆ โลกนี้ก็ต้องมี 2 พวกอยู่อย่างนี้แหละ และคิดว่าจะคงอยู่คู่กับโลกไปตลอดกาล ถ้าท่านขืนทำให้เหลือพวกเดียวเมื่อไหร่ เมื่อนั้นท่านจะทำให้สังคมถึงกาลวิบัติ สร้างความเสียหายไปทั่วอย่างใหญ่หลวง (นี่คือสัจธรรรมครับ)<br />
<br />
<br />
ถ้า....ท่านทำได้อย่างนี้ ผมจะยอมทุกอย่าง เพื่อทุ่มเทช่วยเหลือท่านอย่างเต็มที่ <br />
<br />
<br />
และ ผมจะไม่โพสต์ หรือแชร์ เพื่อสะกิดใจ หรือทำให้ขุ่นเคืองอารมณ์ท่านอีกเลยครับทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-80192506181584617652014-06-02T23:14:00.002-07:002024-03-25T02:19:11.714-07:00ผมไม่ใช่พวก "เสื้อแดง" เพราะผมเป็น "ชาวพุทธ" 1ผมขอประกาศย้ำอีกครั้งนะครับ<br />
<br />
หลายคนถามผมว่า “ผมเป็นพวกไม่เอาเจ้า” หรือเปล่า<br />
หรือว่า "ผมเป็นพวกเสื้อแดง" หรือเปล่า <br />
หรือว่า “ผมเป็นพวกชอบทักษิณ” หรือเปล่า <br />
หรือว่า “ผมไม่มีสติปัญญาพอที่จะแยกแยะออกว่าใครเป็นคนดี คนเลว” หรือเปล่า <br />
เพราะเห็นสิ่งที่ผมพูด หรือวิจารณ์ หรือโพสต์ หรือแชร์<br />
ดูเหมือนว่าจะโน้มเอียงเข้าข้างแต่พวกทักษิณ หรือพวกเสื้อแดงเท่านั้น <br />
<br />
<br />
ผมขอตอบให้ชัดๆ ว่า...<br />
ผมไม่ได้เป็นเสื้อแดง ผมไม่ได้เป็นพวกทักษิณ<br />
ผมเป็นคนยอมรับได้ และสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ทุกระบบการปกครอง ถ้าสังคมส่วนใหญ่เลือก หรือตัดสินใจว่าจะใช้ระบบใดเป็นมาตรฐานของสังคม <br />
<br />
<br />
แต่....ที่ผมรับไม่ได้ จึงพยายามเขียนให้เพื่อนฉุกคิดบ้าง เตือนใจบ้าง หรือสะกิดสติปัญญาของเพื่อนๆ ก็เพราะความสับสน และความสับปลับของคนในสังคมไทยกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่มีหลักการ จุดยืน แนวคิดที่ชัดเจน<br />
<br />
<br />
สับสนอันดับแรก คือ สับสนทางความคิด 2 ประการ คือ<br />
<br />
<br />
1. ปากอยากได้ระบอบประชาธิปไตย แต่ใจกลับไปดิ้นรนหาอำนาจนอกระบบมาดำเนินการจัดระเบียบทางสังคม เพื่อให้ได้ “คนดี” มาเป็น “ผู้นำ” หรือ “ผู้ปกครอง” (ทั้งๆที่ระบอบประชาธิปไตยของไทย (เลียนแบบอังกฤษมา) นั้นเขาต้องการแค่มี “ตัวแทน” ไปทำธุระ หรือแก้ปัญหา (บริหาร+บริการ) ให้ประชาชนในระยะเวลา 4 - 5 ปี ไม่ได้มุ่งที่จะเลือก “ผู้นำ หรือ ผู้ปกครอง” แต่อย่างใด เพราะ "ผู้นำ" ของเราไม่ต้องเลือก เนื่องจากเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็น "ผู้นำที่ดี" อยู่แล้ว )<br />
<br />
2. ปากบอกว่าอยากเห็นและอยากให้ทุกคนมีความเสมอภาค และสิทธิและเสรีภาพที่เท่าเทียมกัน แต่ใจก็ไม่อยากให้ทุกคนเท่าเทียมกัน อยากให้มีระบบชนชั้น และต้องเฉพาะพวกฉันเท่านั้น ที่จะเป็น “คนดี” หรือ “ผู้นำ” หรือ “ผู้ปกครอง” ได้ คนอื่นห้ามเป็นโดยเฉพาะประชาชนคนธรรมดาทั่วไป<br />
<br />
<br />
ส่วนพวกสัปปลับ นั้นเห็นได้จาก<br />
<br />
<br />
1. เวลาพวกหนึ่งทำอะไร ก็ทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะชุมนุม ปิดถนน ยึดบ้าน ยึดเมือง ยึดที่ทำการ พกอาวุธ ทำร้ายคนที่ขวางหน้าได้สารพัดอาวุธ ไม่ถือว่ามีความผิด เป็นการทำเพราะรักบ้านรักเมือง แต่อีกพวกหนึ่งทำอย่างเดียวกันกับพวกแรก กลับบอกว่าทำลายเผาบ้านเผาเมือง เป็นพวกเลวไม่รักชาติบ้านเมือง<br />
<br />
2. พวกหนึ่งทำอะไรต้องผิด และมักถูกดำเนินคดีอย่างรวดเร็ว ไม่มีการรอหรือลดหย่อนผ่อนโทษแต่อย่างใด แต่.....อีกพวกหนึ่งกลับดำเนินคดีอย่างล่าช้า พอใกล้เวลาตัดสินก็มักบอกว่าหมดอายุความบ้าง ให้ยุติเรื่องบ้าง หรือยกฟ้องบ้าง หรือความผิดชัดเจนเลี่ยงไม่ได้ก็ให้รอลงอาญาบ้าง ถือว่าไม่มีความผิด ทั้งๆที่ก็เป็นฐานความผิดเดียวกัน<br />
<br />
<br />
3. พวกหนึ่งโกงก็ไม่เป็นไร ผลาญงบประมาณประเทศ ทำความเสียหายไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เงียบกริบไม่วิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างใด ทั้งๆที่หลักฐานชัดเจน แต่.... อีกพวกหนึ่งถึงแม้หลักฐานยังไม่ชัดเจน ยังคลุมเครืออยู่ก็ออกมาโวยวายว่า เขาโกงไว้ก่อน<br />
<br />
<br />
เพื่อนๆ จะสังเกตไหมว่า <br />
สิ่งที่ผมโพสต์ ผมแชร์ ก็คือ ผมนำข้อมูล หรือข้อเท็จจริงอีกด้าน<br />
มานำเสนอเปรียบเทียบกับสิ่งที่คนกลุ่มหนึ่งกล่าวหา หรือสร้างกระแสข่าวขึ้นมาก่อน <br />
<br />
<br />
ซึ่งผมก็จะเน้นทุกครั้งว่า “เป็นข้อมูลอีกด้าน” เผื่อว่าจะช่วยสะกิดใจกันบ้าง <br />
และผมก็ไม่ได้หวังให้เพื่อนบางคนเปลี่ยนใจหรอกครับ<br />
เพราะผมเชื่อว่า ท่านก็ต้องคิดว่าความคิดของท่านถูก<br />
<br />
<br />
แต่...เพื่อนๆ จะไม่มีวันได้เห็นสิ่งที่ผมโพสต์ หรือแชร์ เพื่อกล่าวหาใครก่อน <br />
ผมมีแต่จะเน้นว่า เราจะเลือกระบอบการปกครองแบบใดกันแน่ อย่ามั่ว !!!!<br />
และอย่าทำให้ "ตัวเอง" "ผู้อื่น" และ "บ้านเมือง" สับสนไปด้วย<br />
สงสารเด็กๆ รุ่นหลังบ้างครับ เขาจะอยู่ยากขึ้น<br />
เพราะไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิดจริงกันแน่ <br />
<br />
<br />
<br />
สรุป : ใครกันแน่ที่สร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง จนผู้คนในสังคมไทยปัจจุบันต้องแตกแยกทางความคิดและความเป็นอยู่ <br />
<br />
ใครกันหนอที่ทำให้ “หินแตก และแยกแผ่นดิน” <br />
<br />
ประเภทพวก “กูดี” แต่...พวกมึง “ต้องเลว” หรือ ต้องเป็น “ขี้ข้า” ให้พวกกูตลอดไป <br />
<br />
จะเอากันอย่างนี้หรือครับ “พวกกู” เอ๊ย ! "พวกมึง"ทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-67547129428056122452014-06-02T23:13:00.001-07:002024-03-25T02:19:10.356-07:00ไม่ต้องด่า ก็ห่วงใยได้• มีสำนวนหนึ่งแพร่หลาย และนิยมกันมากว่า<br />
<br />
“ ...คำด่าที่ห่วงใย ดีกว่าคำชมที่เสแสร้ง...”<br />
<br />
แต่...ผมมองเห็นต่าง เห็นแย้งอีกมุมมองหนึ่ง ดังนี้<br />
<br />
จริงๆแล้ว เราไม่รู้หรอกว่า คนที่ด่าหรือชม เป็นคนอย่างไร มีเจตนาอย่างไร<br />
แต่ทั้งคำด่าคำชมมีผลกระทบต่อจิตใจผู้ฟัง<br />
ทำให้ทุกข์หรือสุข เจ็บใจ หรือ ปลื้มใจเรียบร้อยแล้ว<br />
ผมจึงไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้นัก จึงขอออกความเห็นร่วมด้วย<br />
<br />
<br />
• ขึ้นชื่อว่าด่า ด่าอย่างไรก็เกิดจาก "โทสะ"<br />
ที่เกิดโทสะจนระงับไม่อยู่ กลายเป็น "ผรุสวาท"<br />
ที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะ..."คาดหวัง" ไว้มาก แล้วไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง<br />
แม้ต่อมา พยายาม "คาดคั้น" บางครั้งถึงกับ "คาดโทษ" และ "ลงโทษ" ก็แล้ว <br />
ก็ยังไม่ได้ตามที่หวังอีก จึงเกิดการควบคุมสติอารมณ์ไม่ได้ จนต้องด่าออกไป<br />
<br />
<br />
• ที่ด่าไม่ได้ เพราะ "รัก" และ "หวังดี" หรอกครับ<br />
แต่ด่าเพราะไม่เป็นไปตามที่หวังต่างหาก<br />
แต่ด่าไปแล้ว สำนึกได้ว่ารุนแรงเกินไป<br />
ก็แกล้งมา "แก้ขวย" ว่าด่าเพราะหวังดีหรอกนะ<br />
<br />
<br />
• เพราะอกุศลจิตที่ด่า (ผรุสวาท) เป็นวจีทุจริต<br />
แต่ความเป็นพ่อแม่ ดีตรงที่ว่า ท่านด่าไม่นานก็กลับมายังรักและหวังดีอยู่<br />
หรือกลับมาพูดดีด้วย อย่างนี้ก็เรียกว่าเกิดอกุศลจิตไม่นาน<br />
ไม่เหมือนบุคคลทั่วไป ที่ด่าแล้วมักเจ็บใจ หรือผูกใจเจ็บต่อ<br />
<br />
<br />
• ถ้าด่าเป็นสิ่งดี พระพุทธเจ้าคงไม่จัดเป็นส่วนหนึ่งของสัมมาวาจา<br />
ในองค์มรรค 8 โดยท่านให้ไม่มุสาวาท ไม่ปิสุณาวาจา ไม่ผรุสวาจา<br />
และไม่สัมผัปปลาปะ หรอกครับ<br />
<br />
<br />
• การที่จะอ้างว่าด่าเพราะเจตนาดี<br />
แล้วแถมอ้างพุทธพจน์ว่า<br />
“เจตนาวหํ กมฺมํ วเทมิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนานั่นแหละคือกรรม”<br />
ก็พุทธเจ้าแสดงไว้ชัดแล้วว่า เจตนานั่นแหละเป็นกรรม<br />
เจตนาบังคับลูก ตั้งความหวังไว้กับลูก ให้ลูกพยายามเดินทางที่ตัวเอง<br />
คิดว่าถูกว่าดี ในสายตาตนเอง ไม่ใช่ว่าไม่หวังดีต่อลูก<br />
แต่หวังดีเกินไป ไม่เคยอ่านหรือครับว่า<br />
“เมตตามากไป พลิกนิดเดียวก็กลายเป็นราคะ<br />
กรุณามากไป ก็มักกลายเป็นโทสะ”<br />
<br />
<br />
• การที่รักลูก หวังดีกับลูก จนต้องด่า<br />
แสดงว่าจิตใจยังมีสติปัญญาไม่พอ<br />
ถ้าผู้ใดมีสติปัญญาพอไม่เห็นต้องด่าก็ได้<br />
แค่ใจแข็งวางเงื่อนไขกับลูกเสียก็ได้ เช่น<br />
พระพุทธเจ้าให้สงฆ์วางพรหมทัณฑ์กับพระฉันนะ เป็นต้น<br />
แต่ทางจิตวิทยามีตัวอย่างมากมาย ท่านที่สนใจค้นคว้าหาอ่านได้ทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-1755067647617967432014-06-02T23:12:00.002-07:002014-06-02T23:12:49.705-07:00ระบอบการปกครองใด ดีที่สุดสำหรับสังคมไทยผมเชื่อตามแนวทางพุทธศาสนาว่า ไม่มีการเมือง การปกครอง หรือรูปแบบสังคมใด ที่จะทำให้เกิด "...สังคมที่ดี สังคมอุดมคติ ที่มีแต่คนดีในโลกนี้ (แบบในยุคพระศรีอาริย์) ” อย่างแน่นอน<br />
<br />
ความจริงสังคมมนุษย์ทั่วไปในโลกตามแนวพุทธศาสนา ล้วนดำเนินชีวิตด้วยความโลภ โกรธ หลง หรือมีอวิชชา ราคะ ตัณหาเป็นแรงขับ แรงผลักดัน ไม่เว้นแม้บุคคลผู้นั้นจะอยู่ในชนชั้นใด<br />
<br />
<br />
แม้แต่สังคมภิกษุ / นักบวชในศาสนาพุทธ ถ้าทำตามพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์จริงๆ ก็ถือว่าเป็นสังคมที่ดีที่สุดในโลกอย่างที่ทุกคนใฝ่หา แต่ความเป็นจริงก็ยังมีภิกษุที่ทำผิดวินัย มีคนจิตใจหยาบช้า คนต่ำทรามเข้ามาอยู่ในแวดวงภิกษุ ต่อให้มีกฎเกณฑ์เข้มงวดแค่ไหน คนที่อ้างว่าตนเป็นภิกษุ ก็ทำผิดได้ ถ้าผู้เป็นครูอาจารย์ไม่ดีจริง หรือเอาใจใส่สั่งสอนอบรมจริง<br />
<br />
<br />
ในทัศนะของผม จึงไม่มีระบอบการปกครองแบบไหนดีที่สุดในโลก โดยไม่มีข้อบกพร่อง และผมก็เชื่อว่า ระบอบประชาธิปไตยก็ไม่ดีวิเศษกว่าระบอบการปกครองอื่นแต่อย่างใด, ถ้าคนและผู้นำในระบอบนั้นหลงตน และมัวเมาในอำนาจ ผลประโยชน์<br />
<br />
<br />
<br />
แต่...ระบอบประชาธิปไตยดีตรงที่ว่า เมื่อคนเก่าหมดวาระลงตามที่กำหนด ประชาชนก็จะเลือก “ตัวแทน” ใหม่ โดยไม่ต้องรบราฆ่าฟันล้างโคตรเหมือนระบอบอื่นๆ ตามที่ผมรับรู้มา ระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่มุ่งเน้นให้ประชาชนมีความเสมอภาค ความยุติธรรม และเสรีภาพเท่านั้น<br />
<br />
<br />
ประชาธิปไตยเป็นระบอบแค่เลือก "ตัวแทน" ไปทำงาน ไม่ได้มุ่งเน้นหา "คนดี" มาเป็นผู้นำ ผู้ปกครอง แต่...ถ้าเผอิญได้ "คนดี และเก่ง" มาเป็นตัวแทนยิ่งดีใหญ่<br />
<br />
<br />
ผมขอเสนอ "แง่คิด" ว่า เมื่อสังคมใดเลือกระบอบการอยู่ร่วมกันในสังคมแบบใดจริงๆ ก็ควรยึดมั่นถือมั่นตามหลักการของระบอบนั้นๆ เช่น สังคมไทยเลือกการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เราก็ควรยึดหลักการของประชาธิปไตยจริงๆ ที่มุ่งเน้นให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ แล้วเลือก "ตัวแทน" ไปทำงานตามที่ประชาชนต้องการ<br />
<br />
<br />
ไม่ใช่แบบทุกวันนี้ ที่ไปเอาหลักการ วิธีการของระบอบการปกครองอื่นๆมาปนเปกับระบอบประชาธิปไตย เช่น ต้องการให้นักการเมืองเป็น "คนดี" อ้างแต่ "ความเป็นคนดี" เพื่อทำลายคนที่อาสามาเป็น "ตัวแทนประชาชน" เป็นคนไม่ดี เพื่อคนที่อ้างตัวเอง "เป็นคนดี" เข้ามามีอำนาจแทน มันจะทำให้คนในสังคมนี้ สับสนในหลักการ แนวคิดไปหมดครับ <br />
<br />
<br />
แต่....ถ้ามีคนเชื่อว่าการปกครองที่ดีที่สุดของสังคมไทย ควรให้คนคนหนึ่ง หรือคนกลุ่มหนึ่งที่สังคมเชื่อว่า “เป็นคนดี มีความรู้ มีคุณลักษณะพิเศษเหนือกว่าประชาชนธรรมดา” มาเป็นผู้นำ ผู้ปกครอง คน ๆ นั้นก็ควรรณรงค์ชักชวนให้คนส่วนมากในสังคมไทยเห็นด้วย และเมื่อมีคนเห็นด้วยมากเข้า จนสังคมส่วนใหญ่เลือกและตัดสินใจใช้การปกครองแบบที่นำเสนอ ก็ควรประกาศให้โลกรับรู้ว่า เราเลือกระบอบการปกครองใหม่ ทุกคนจะได้ยอมรับขอบเขต ข้อจำกัดของตัวเอง จะได้ไม่ต้องไปหวังลมๆแล้งๆอีกต่อไป <br />
<br />
<br />
<br />
ส่วนผม ผมเชื่อว่าผมปรับตัวเข้ากับระบอบการปกครองทุกอย่างได้ เพราะผมเป็นพุทธศาสนิกชน "ไม่ยึดมั่นถือมั่น" และตัวผมเชื่อในการเวียนว่ายตายเกิดและกฏแห่งกรรมอย่างมั่นคง ทำให้ผมเชื่อว่าการที่เราเกิดในแต่ละชาติ เพราะเราต้องไปเรียนรู้ และชดใช้ความผิดพลาดที่ทำมาในอดีตชาติต่างๆ การเกิดในสังคมแบบใด แสดงว่าต้องเกิดมาเพื่อเรียนรู้โอกาส และอุปสรรคของสังคมแบบนั้น” <br />
<br />
<br />
<br />
เช่น ผมเกิดมาในสังคมไทย แสดงว่าผมต้องมาเรียนรู้การยึดติด ความหลงมัวเมาในความสุข สบาย ความเป็นคนดี” ให้ผ่านพ้นให้ได้, ถ้าผมไปเกิดที่เกาหลีเหนือ แสดงว่าผมต้องไปเรียนรู้การกดขี่ข่มเหง ระบอบชนชั้น, และถ้าผมไปเกิดในประเทศยุโรปในยุคกลาง แสดงว่าผมต้องไปเรียนรู้ไม่ให้เผยแพร่เรื่องความลึกลับ การเวียนว่ายตายเกิด หรือเรื่องที่ยุคนั้นห้ามเอาไว้ ผมต้องเน้นเรื่องความรัก ความเมตตาอย่างเดียว ถ้าผมดื้อรั้นและไม่ทำตาม ผมคงถูกแขวนคอ เผาไฟ หรือไม่ก็คงถูกบังคับให้กินยาพิษแน่ๆ,<br />
<br />
<br />
<br />
เรามาช่วยกันทำให้สังคมไม่สับสนเถอะครับ ท่านที่คิดว่า "ตัวเองดีกว่า" หรือ “คิดดีกว่า” ชาวบ้าน อย่าอ้างประชาธิปไตย แต่ทำลายหลักการแนวคิดของประชาธิปไตย ถ้าท่านยังคิดว่าสังคมไทยควรปกครองในระบอบประชาธิปไตยอยู่<br />
<br />
<br />
เพราะไปๆมาๆ ที่อ้างว่าจะ "โค่นล้มระบอบทักษิณ"นั้น แท้จริงจะกลายเป็น “ไม่ต้องการให้ประชาชนมีอำนาจปกครองตัวเอง” แต่.....อยากให้ชนชั้นตัวเองเป็นผู้ปกครองฝ่ายเดียวเสียมากกว่าครับทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-43049558368575942662014-06-02T23:11:00.002-07:002024-03-25T02:19:09.259-07:00“การเลือกตั้ง” เท่านั้นที่แสดงว่า “ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาชนตัดสินใจชีวิตของตนเอง”ที่จริงการถกเถียงเรื่องการเมืองตอนนี้ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย<br />
<br />
<br />
เพราะถ้าขึ้นต้นคำถาม หรือประเด็นถกเถียงว่า ประเทศไทยควรมีระบอบการปกครองแบบไหนดี ? แบบนี้รับรองว่า “ยาก” แน่นอน ซึ่งมันจะกว้างและหาบทสรุปไม่ได้ใน 100 ปี เพราะต้องถกเถียงถึงข้อดีข้อเสีย และความเป็นไปได้ของระบอบต่างๆ ถ้านำมาใช้กับเมืองไทย เถียงกันมากเข้า โอกาสที่จะฆ่ากันตายก็มีสูงไปด้วย<br />
<br />
<br />
แต่ถ้าขึ้นต้นข้อถกเถียงกันว่า ประเทศไทยควรปกครองในระบอบประชาธิปไตยไหม ? อย่างนี้ “ง่าย” มาก จะปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง หรือ เลือกตั้งก่อนปฏิรูป ก็สามารถให้คำตอบได้ง่ายตามไปด้วย เพราะแค่บอกว่า “ควร หรือ ไม่ควร” ก็จบแล้ว และที่จริงก็จบไปนานแล้วกับคำถามนี้ เพราะเราถูกสอนให้รับรู้ว่า สังคมไทยเลือกการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาตั้งแต่เกิด อาจจะเพราะเป็นการปกครองที่สากลทั่วโลกยอมรับก็ได้ เราต้องการเป็นสากลอารยะประเทศก็เลยต้องมีการปกครองแบบนี้ตาม<br />
<br />
<br />
เพราะคำว่า “ประชาธิปไตย” มีคำนิยามที่ยอมรับกันทั่วโลกแล้วว่า “ประชาชนเป็นใหญ่ เป็นการปกครองของประชาชนโดยประชาชน และเพื่อประชาชน” อะไรๆที่ประชาชนไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ ถือว่าผิดหลักการประชาธิปไตยหมด<br />
<br />
<br />
ที่เมืองไทยมีปัญหาทางการเมือง ทางความคิดตอนนี้ ก็เพราะจริงๆแล้ว คนกลุ่มหนึ่งเขาไม่ได้ต้องการให้มีระบอบประชาธิปไตยในเมืองไทย เขาไม่ได้ต้องการให้ประชาชนเป็นใหญ่ เขาต้องการแค่ให้ชนชั้นเขาเป็นใหญ่ เป็นผู้ปกครองประเทศเท่านั้น <br />
<br />
<br />
ถ้าใครพูดถึงเรื่อง “คนดี” หรือ “คนไม่ควรเท่ากัน” หรือ เรียกร้องให้นักการเมืองเป็นคนดี มีการเมืองสร้างสรรค์ หรือว่าประชาธิปไตยไม่ได้อยู่ที่การเลือกตั้ง ***ให้พึงรู้เถิดว่า เขากำลังไม่ได้พูดระบอบประชาธิปไตยกับเรา*** แต่....เขากำลังบอกว่าตัวเขาหรือพวกเขาควรเป็นผู้ปกครองประเทศนี้ ควรมอบอำนาจให้เขา เพราะเขาเป็นคนดีกว่า เก่งกว่า จริงใจกว่าคนที่ประชาชนเลือกมา<br />
<br />
<br />
เพราะประชาธิปไตยจริงๆ ก็คือ ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจชีวิตของตัวเอง แต่ประชาชนไม่สามารถไปทำภารกิจตามความต้องการได้ทุกอย่าง เขาจึงเรียกร้องหา “ผู้อาสา” หรือเลือก “ตัวแทน” ไปทำงานแทนให้<br />
<br />
<br />
ระบอบประชาธิปไตย จึงอยู่ที่ “การเลือก” จะเป็นการเลือก “ตัวแทน” หรือ “ผู้นำ” ตามที่เขาต้องการ ก็ได้ทั้งนั้น และเขาต้องยอมรับผิดชอบกับคนที่เขาเลือกภายในเวลาที่กำหนด ประชาธิปไตยจริงๆ ก็มีแค่นี้เอง ไม่ได้มีอะไรลึกลับ ซับซ้อนแต่อย่างใด อะไรๆที่เกินกว่านี้ถือว่าไม่ใช่ “หลักการ” ของประชาธิปไตย <br />
<br />
<br />
และถ้าเกินไปจากนี้ เช่น ต้องการให้นักการเมืองเป็นคนดี หรือต้องจบปริญญาตรี หรือต้องมีอายุเท่านั้นเท่านี้ หรือต้องมีความรู้ความสามารถอย่างนั้นอย่างนี้ แสดงว่ามีผู้นำเอาความคาดหวัง และเจตนาแอบแฝงที่ต้องการให้ตัวเอง หรือพวกตัวเองได้ประโยชน์มาใช้กับระบอบประชาธิปไตยแล้วล่ะ<br />
<br />
<br />
ที่เมืองไทยวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะมีผู้ต้องการให้ตัวเอง หรือพวกตัวเองได้ประโยชน์ โดยสร้างเงื่อนไขมากมายกับระบอบประชาธิปไตย ร่างกฎกติการะเบียบมากมาย ผลิตรัฐธรรมนูญไม่รู้กี่ฉบับ จนเกิดปัญหามากมายซับซ้อนตามมาไม่รู้จบ<br />
<br />
<br />
และที่หนักกว่านั้น สร้างภาพให้นักการเมือง ที่เป็นตัวแทนของประชาชนเป็น “ผู้ร้าย” ตลอดกาล เช่น กล่าวหาว่านักการเมืองฝ่ายรัฐบาล เป็นเผด็จการรัฐสภา แต่ตัวเองเขียนเงื่อนไขว่าผู้แทนต้องสังกัดพรรค และผู้ที่ได้เสียงข้างมากในสภาให้จัดตั้งรัฐบาล เมื่อใครมีเสียงข้างมากในสภาก็ย่อมเป็นทั้งรัฐบาล และนิติบัญญัติไปด้วย และแม้แต่การเลือกตัวแทน(นักการเมือง)ของประชาชน ก็เขียนจนสับสนว่าจะให้ ตัวแทนของประชาชนมาทำงานหรือไม่ เพราะจะทำอะไรก็ติดขัดไปหมด มีนโยบายแล้ว มอบให้ข้าราชการไปทำงาน แต่ถ้าข้าราชการไม่ทำ จะโยกย้ายหรือปลดระวางก็ยากมาก เพราะอ้างว่าข้าราชการไม่ใช่ “ม้า” ของนักการเมือง<br />
<br />
<br />
ยังมีตัวอย่างอีกมากมาย ที่ลักลั่น ยอกย้อน ขัดแย้งกันในตัวเองของเงื่อนไขที่เขียนในรัฐธรรมนูญ และจากตัวอย่างที่ยกมา สรุปได้ว่า “เขา” สร้างปัญหาให้กับเมืองไทยมาโดยตลอด ทำให้เมืองไทยไม่สงบวุ่นวาย เพื่อจะได้อาศัยเป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจจากประชาชน และเมื่อยึดไปแล้วก็ไม่สามารถปฏิรูปประเทศให้ดีขึ้นแต่อย่างใด เพราะไม่ช้าก็ต้องให้มีเลือกตั้ง เนื่องด้วยไปสัญญากับประเทศต่างๆทั่วโลกว่าประเทศนี้จะปกครองในระบอบประชาธิปไตย ถึงจะพยายามเขียนเงื่อนไขไม่ให้ตัวแทนของประชาชนทำอะไรได้ตามที่หาเสียงมา สุดท้ายก็ต้องมีเลือกตั้งอยู่ดี มีเพียงแค่พยายามเอาคนของตัวเองเข้าไปมีอำนาจทุกภาคส่วน เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง แล้ววันหนึ่งถ้าอำนาจของตัวเองลดลงเกือบครึ่ง ก็จะหาเหตุอ้างยึดอำนาจของประชาชนกลับไปให้พวกตัวเองมีอำนาจครบถ้วนทุกภาคส่วนใหม่อีก วนเวียนอย่างนี้ไม่รู้จบ<br />
<br />
<br />
เขาถึงเรียกการปกครองเมืองไทยตอนนี้เป็น “วงจรอุบาทว์” ไงครับ <br />
<br />
<br />
ถ้าจะไม่ให้ “วงจรอุบาทว์” นี้เกิดขึ้นอีก ประชาชนต้องรู้เท่าทัน และหวงแหนอำนาจของตัวเองไว้มากๆ อย่าปล่อยให้ใครมาแอบอ้างความดี คนดี เพื่อ “เขา” จะได้มีอำนาจในการปกครองประเทศนี้นานๆ แต่เพียงผู้เดียวนะครับ<br />
<br />
<br />
สำหรับทัศนะของผมทุกระบอบการปกครองก็มีข้อดีข้อเสียด้วยกันทั้งนั้น ระบอบจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่คนของสังคมนั้นจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหน และส่วนตัวผมเชื่อ “กฎแห่งกรรม” ดังนั้นในโลกนี้จึงต้องมีสังคมและระบอบการปกครองหลายชนิด เพื่อให้คนได้ไปเวียนว่ายตายเกิดในแต่ละชาติ ไปเกิดไปเรียนรู้ในสังคมนั้นๆ ตามสภาวะจิตใจที่สั่งสมมา และชดใช้หนี้เวรที่สร้างมา <br />
<br />
<br />
ผมเชื่อว่า “ทุกชีวิตที่เกิดมา ไม่มีคำว่า “บังเอิญ” การที่ทุกคนเกิดในประเทศแบบไหน สังคมแบบไหน พ่อแม่พี่น้องเพื่อนแบบไหน สิ่งแวดล้อมแบบไหน ล้วนเพราะเขา “เลือก” มาเกิดตาม “กรรม และสภาวะจิต” ของตนเอง หรือมีผู้จิตสูงส่งแนะนำให้มาเกิด<br />
<br />
<br />
อย่าลืมไปเลือกตั้งวันนี้นะครับ เพราะนั่น คือ การตัดสินใจชีวิตของท่าน ว่าท่านจะเลือกใช้ชีวิตแบบใดในอนาคต โดยไม่ต้องรอให้ กปปส. หรือใครมากำหนดชะตาชีวิตของท่าน<br />
<br />
<br />
“การเลือกตั้ง” เท่านั้นที่แสดงว่า “ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาชนตัดสินใจชีวิตของตนเอง” โดยไม่ต้องฆ่าฟันทำร้ายกัน ทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-70699076014343457202014-06-02T23:08:00.002-07:002024-03-25T02:19:11.160-07:00รักแท้หายาก รักตัวเองมากกว่า• คนที่มัวแต่วิ่งหาความรัก แสวงหาความรักแท้<br />
แต่ทำไม...ไม่เจอ “ความรัก” หรือ รักแท้" "สักที<br />
ก็เพราะเขา(เธอ)ยังไม่เคย "รัก" ใครจริง<br />
มัวแต่...วิ่งหา แสวงหาว่าใคร<br />
จะมาตามใจฉัน เอาใจใส่ฉัน<br />
ยอมฉันมากที่สุดกว่าใคร<br />
<br />
<br />
• ทุกคน "อยากมีรัก" หรือ "ได้รับความรัก" เสมอ <br />
ทั้งๆที่ "ความจริง" (ธรรมะ) สอนเราอยู่ตลอดเวลาว่า<br />
"อยากมีรักแท้" ต้อง "รู้จักรักคนอื่น" ก่อน<br />
หรือ "มีใจ" ที่รู้จัก "ให้" ก่อนนะสิ<br />
<br />
<br />
• เพราะเมื่อรักใคร ก็ต้องมี "ใจ" ให้<br />
ทั้งยอม "...ให้ใจ ใส่ใจ เอาใจ..."<br />
กับคนที่ตนเองรัก<br />
อยากให้คนที่ตนเองรัก<br />
มีความสุข ความสมหวัง<br />
เรียกว่าขณะมีความรัก เห็นคนอื่นสำคัญกว่าตัว<br />
ไม่เอาแต่ใจตนเอง ตัวเองแค่ภูมิใจเท่านั้นก็พอ<br />
โบราณถึงมีคำว่า "...ความรักทำให้คนตาบอด..."<br />
ทำอย่างไรได้ก็รักเขาแล้วล่ะ<br />
<br />
<br />
• ถ้ายัง ...ไม่ให้ใจใคร ใส่ใจใคร เอาใจใคร ยอมใคร...<br />
มีแต่ความอยากให้มีใครสักคน<br />
มาเอาใจ ใส่ใจ ตามใจตัวเองเท่านั้น<br />
ก็แสดงว่าคนๆนั้นยังไม่มีความรักจริงๆ<br />
หรือยังไม่เคยรักใคร<br />
มีแต่ "รักตนเอง" เป็นสรณะ<br />
<br />
<br />
• พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า....<br />
- ทายโก ปฏิทานํ ผู้ให้ย่อมได้รับการให้ตอบ<br />
- ททมาโน ปิโย โหติ ผุ้ให้ย่อมเป็นที่รัก<br />
- ททํ มิตฺตานิ คนฺถติ ผู้ให้ย่อมผูกไมตรีไว้ได้<br />
<br />
<br />
• ดังนั้น อยากได้ความรักจากใคร<br />
ก็จงรักเขาก่อนจำไว้....อย่าลืม<br />
<br />
<br />
• แต่คงค่อนข้างยาก<br />
เพราะทุกคนอยากให้มีใครมารักตัวก่อน<br />
ไม่อยากเป็นผู้รักคนอื่นก่อนทั้งนั้น<br />
พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า<br />
...นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ...<br />
ความรักอื่นยิ่งกว่าความรักตัวเองไม่มี.<br />
<br />
<br />
• ในโลกนี้<br />
จึงมีแต่ผู้มีความทุกข์จากความรัก<br />
มากกว่าสุขครับ<br />
<br />
...................<br />
<br />
ทิ้งท้าย :<br />
วันหนึ่งมีผู้ถามผมว่า<br />
ส่วนมากคนมักรักตัวเองมากกว่าผู้อื่น<br />
แล้วจะมีไหมที่คนเราจะรักคนอื่นมากกว่าตนเอง<br />
<br />
<br />
ผมตอบว่า : มีครับ<br />
คนที่ไม่ค่อยรักตัวเอง รักคนอื่นมากกว่า<br />
ก็พ่อแม่ไงล่ะครับ ทำทุกอย่างเพื่อลูก<br />
แต่ท่านก็ยังติดอยู่ที่ ต้องเป็นลูกของตัวเอง<br />
ท่านถึงจะรักเมตตาเต็มที่<br />
<br />
<br />
ส่วนบุคคลอื่นก็พอมีบ้าง เช่น <br />
พระที่ปฏิบัติจนละคลายความยึดมั่นถือมั่นได้บ้าง<br />
ท่านก็จะเสียสละความสุขของตัวท่านไปช่วยผู้อื่น เช่น<br />
พระที่ชอบรักษาผู้ป่วย ชอบสงเคราะห์ผู้อื่น<br />
หรือทางภาคเหนือ ก็ตัวอย่าง ครูบาศรีวิชัย เป็นต้น<br />
<br />
<br />
แต่ก็ไม่แน่ว่า<br />
จะรักคนอื่นตลอดไปเหมือนเดิม<br />
ถ้าองค์ไหน คนไหนเริ่มดัง<br />
หรือมีแต่คนเยินยอทุกวัน<br />
<br />
<br />
ก็มักหลงตัวเองว่าเป็น "คนดี" "ผู้วิเศษ"<br />
ก็เริ่มรังเกียจ ดูถูกคนต่ำต้อยกว่าอีก <br />
ต่อมาก็ "เลือก" คนที่จะรัก คนที่จะให้<br />
เฉพาะคน "ใกล้ชิด" หรือ "คนพิเศษ"<br />
ที่ไม่ใช่ "คน" ธรรมดาเหมือนเดิมอีก.<br />
<br />
เฮ้อ ! คนหนอคน.ทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-29548897802092443932014-06-02T22:51:00.002-07:002024-03-25T02:19:08.702-07:00“..ปรับความเข้าใจฝ่ายวัด และฝ่ายบ้าน เกี่ยวกับเรื่องศาสนา และพระๆ..” ตอน 2<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<div style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: initial; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; margin: 0in 0in 7.5pt;">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;"><span lang="TH">ครับ</span>, <span lang="TH">จากตอนที่ </span>1 <span lang="TH">พวกเราน้อมรับคำขอร้องฝ่ายวัดที่ว่า
ให้พวกเราประชาชนชาวบ้านช่วยกันรักษาพระศาสนา โดยไม่ช่วยกันกระพือ
หรือขุดคุ้ยข่าวที่ไม่ดีของพระ "อลัชชี" หรือ "ผู้ทุศีล"
ออกไป แต่...พวกเราก็ต้องขอร้องฝ่ายวัด หรือผู้อยากเป็นนักบวชว่า
อย่าช่วยกันกระจายสิ่งที่ไม่ดีของพวกท่านออกมาสู่สาธารณะบ่อยนักสิครับ</span><o:p></o:p></span></div>
<div style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: initial; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; box-sizing: border-box; margin: 0in 0in 7.5pt;">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;"><span lang="TH">พอพวกเราเห็นก็อยากแนะนำ ชี้แจงว่าไม่ดี ไม่ควรนำมาลง
จึงมีคนกลุ่มหนึ่งช่วยกันตักเตือนพวกหน้าด้าน ไม่รู้จักยางอาย ให้สงบสำรวมบ้าง
ไม่ได้ตั้งใจจะประจานพวกพระที่ดีหรอกครับ พวกผมยังนับถือพระพุทธศาสนา
และพระสงฆ์สาวกที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัยเสมอ</span><o:p></o:p></span></div>
<div style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: initial; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; box-sizing: border-box; margin: 0in 0in 7.5pt;">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;"><span lang="TH">แต่พวกท่านกลุ่มหนึ่งก็เหลือเกิน ขยันสร้างข่าว
ขยันนำสิ่งที่ไม่ดีออกมาสู่สาธารณชนกันเหลือเกิน ก็ได้แต่ขออาราธนา
ร้องขอว่าพวกท่านช่วยกันตักเตือน ควบคุมกันด้วย ชีวิตชาวบ้านชาวโลกเขาวุ่นวาย
สกปรกก็เป็นเรื่องของสัตว์โลกที่ยังมืดบอดด้วยอวิชชา รอพระที่ดีมาช่วยสอนเกิดสติปัญญาขจัดอวิชชา
แต่พวกท่านมีโอกาสได้เล่าเรียนศึกษาพระธรรมวินัยมา ก็น่าจะรู้ว่าอะไรควรทำ
ไม่ควรทำกันบ้าง</span><o:p></o:p></span></div>
<div style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: initial; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; box-sizing: border-box; margin: 0in 0in 7.5pt;">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;"><span lang="TH">ตัวอย่างเฟสและหลายภาพที่พวก "อลัชชี"
ไม่มียางอาย หน้าด้าน เอามาลงประจานตัวเอง ทำลายพวกตัวเองให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา
แล้วพอเสื่อมเสียขึ้นมา กลัวชาวบ้านหมดศรัทธา คราวนี้กลับมาเรียกร้องพุทธบริษัท </span>4 <span lang="TH">ให้ช่วยกันเสียแล้ว เช่น</span><o:p></o:p></span></div>
<div style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: initial; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; box-sizing: border-box; margin: 0in 0in 7.5pt;">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;">1.<span class="apple-converted-space"> </span><a href="https://www.facebook.com/media/set/?set=a.348563378509965.92049.345282915504678&type=1" style="box-sizing: border-box;"><span style="color: #0022cc; text-decoration: none; text-underline: none;">https://www.facebook.com/media/set/?set=a.348563378509965.92049.345282915504678&type=1</span></a><o:p></o:p></span></div>
<div style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: initial; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; box-sizing: border-box; margin: 0in 0in 7.5pt;">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;">2.<span class="apple-converted-space"> </span><a href="https://www.facebook.com/welovemonk" style="box-sizing: border-box;"><span style="color: #0022cc; text-decoration: none; text-underline: none;">https://www.facebook.com/welovemonk</span></a><o:p></o:p></span></div>
<div style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: initial; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; box-sizing: border-box; margin: 0in 0in 7.5pt;">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;"><span lang="TH">ที่จริงชาวบ้านเขาแยกออกครับว่า
พระทั่วไปชาวบ้านเขาไม่คาดหวังให้ถึงกับต้องเคร่งครัดอะไรหนักหนาหรอกครับ
เพราะเขาสร้างวัดขึ้นมาเพื่อให้พระภิกษุที่เขาเคารพนับถือ ศรัทธาในความสามารถ
อยู่ประจำเป็นเจ้าอาวาส หรือ อาจารย์วัด หรือ หัวหน้าพระ เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจ
เอาไว้ทำบุญสุนทาน หรือเป็นที่พึ่งยามเจ็บป่วยบ้าง และช่วยสั่งสอน
อบรมขัดเกลานิสัย จิตใจลูกหลานของพวกเขาให้ดีขึ้น</span><o:p></o:p></span></div>
<div style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: initial; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; box-sizing: border-box; margin: 0in 0in 7.5pt;">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;"><span lang="TH">ถ้าพระภิกษุองค์ไหนไม่ดี ชาวบ้านเขาก็เลิกศรัทธา นิมนต์ไปอยู่ที่อื่นเอง
หรือไม่ก็ขอให้สึกเสียถ้าเป็นลุกบ้านตัวเอง ไม่ปล่อยให้เสียศรัทธา
ดังเช่นสวนโมกข์ในอดีต ที่ท่านพุทธทาสเล่าให้ฟัง พอชาวบ้านรู้ว่าทำไม่ดี
ชาวบ้านก็เอากางเกงมาให้พระนุ่ง สึกออกไปเสีย ไม่ต้องถึงกับขับไล่ไสส่ง
ลุกฮือล้อมรอบวัดเหมือนสมัยนี้ เพราะวัดเป็นของชาวบ้าน พระเป็นเพียงผู้อยู่อาศัย
ดูแลวัดให้สะอาดเรียบร้อย ตามที่ญาติโยมสร้างให้เท่านั้น
ไม่ต้องให้พระออกเรี่ยไรหาเงินมาสร้างวัดเองแบบปัจจุบัน</span><o:p></o:p></span></div>
<div style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: initial; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; box-sizing: border-box; margin: 0in 0in 7.5pt;">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;"><span lang="TH">แต่ที่เป็นปัญหากันทุกวันนี้
เพราะศาสนาพุทธในเมืองไทยกลายเป็น </span>“<span lang="TH">สถาบัน</span>” <span lang="TH">วัดเป็น </span>“<span lang="TH">หน่วยงานหนึ่งของรัฐ</span>” <span lang="TH">มีสถานะเป็น </span>“<span lang="TH">นิติบุคคล</span>” <span lang="TH">เจ้าอาวาส เป็น </span>“<span lang="TH">เจ้าหน้าที่ของรัฐ</span>” <span lang="TH">ได้รับการแต่งตั้งโดยเจ้าคณะจังหวัด จึงจะมีผลตามกฎหมาย
ชาวบ้านตั้งเองไม่ได้</span><o:p></o:p></span></div>
<div style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: initial; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; box-sizing: border-box; margin: 0in 0in 7.5pt;">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;"><span lang="TH">ซึ่งในแง่ดี
ก็คือรัฐเป็นผู้คุ้มครองพระศาสนาไม่ให้ใครมารังแกพระ หรือศาสนาพุทธได้โดยง่าย</span>, <span lang="TH">ในแง่ไม่ดี มีนักบวชบางคนบางรูปไปวิ่งเต้นผ่านเจ้าคณะระดับต่างๆ
ให้ตั้งตัวเองเป็นเจ้าอาวาส โดยเฉพาะวัดที่มีผลประโยชน์มากๆจะเป็นเกือบทุกที่
พระที่ชาวบ้านเลือกหรือศรัทธามักไม่ได้รับการแต่งตั้ง
แต่ก็มีบางท้องถิ่นที่เจ้าคณะท่านแต่งตั้งอนุโลมตามศรัทธาชาวบ้าน
วัดแบบนี้ชาวบ้านแทบทำอะไรไม่ได้ ชาวบ้านได้แต่นั่งทำตาปริบๆ
หรือไม่ก็หันไปทำบุญวัดอื่นแทน
สำนักสงฆ์เกิดขึ้นมากมายก็เพราะสาเหตุนี้สาเหตุหนึ่ง ที่ชาวบ้านอยากได้พระดี
แต่วัดข้างบ้านไม่สามารถสนองตอบได้
ก็เลยต้องตั้งวัดใหม่ขึ้นมาไว้ทำบุญแบบสนิทใจหน่อย</span><o:p></o:p></span></div>
<div style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: initial; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; box-sizing: border-box; margin: 0in 0in 7.5pt;">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;"><span lang="TH">ยิ่งวัดบางวัดเพื่อหนีการรบกวนของชาวบ้าน จะได้บริหารวัดโดยอิสระ
ก็มักจะขอยกวัดธรรมดาเป็นวัดพระอารามหลวง คราวนี้ชาวบ้านหมดสิทธิ์ในการควบคุม
กำกับ ติดตามโดยปริยาย เพราะทั้งเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส
ล้วนถูกแต่งตั้งโดยมหาเถรสมาคม องค์กรสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย ชาวบ้านไม่เกี่ยว
จะนิมนต์สึกหรือให้ไปอยู่ที่อื่น เหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ได้
อ้างว่าต้องมีการสอบสวนก่อน ยิ่งถ้าได้พวกหน้าด้านมากๆ ไม่มียางอาย
ก็จะเล่นแง่แถไปเรื่อยๆ ถือว่าใครทำอะไรไม่ได้ จนกว่าชาวบ้านจะจับได้คาหนังคาเขา
เช่น ที่มีข่าวล้อมกุฎิ ถ่ายรูป ถ่ายคลิปวีดิโอเป็นหลักฐาน ถึงจะยอมจนมุม ลาสิกขา
นอกนั้นอย่าหวังเสียให้ยาก</span><o:p></o:p></span></div>
<div style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: initial; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; box-sizing: border-box; margin: 0in 0in 7.5pt;">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;"><span lang="TH">ชาวบ้านไม่ได้หวังกับพระลูกวัดให้ดีวิเศษหรอกครับ
ถ้าประเภทเหลือขอรับไม่ไหว ชาวบ้านเขาก็แค่เอ่ยปากว่า </span>“..<span lang="TH">ขนาดมีผ้าเหลืองนะเนี่ย ถ้าไม่บวชจะขนาดไหน...</span>”<o:p></o:p></span></div>
<div style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: initial; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; box-sizing: border-box; margin: 0in 0in 7.5pt;">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;"><span lang="TH">แต่ที่ชาวบ้านเขาคาดหวังมาก ก็คือ ตัวอาจารย์วัด
หรือผู้ที่ตั้งตนเป็นครูบาอาจารย์สั่งสอนธรรมะชาวบ้าน แต่...กลับมีปัญหาเสียเอง
นั่นแหละครับที่เขา </span>“<span lang="TH">เฮิร์ท</span>” <span lang="TH">ทำใจไม่ได้</span><o:p></o:p></span></div>
<div style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: initial; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; margin: 0in 0in 7.5pt;">
</div>
<div style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: initial; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; box-sizing: border-box; margin: 0in 0in 7.5pt;">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;"><span lang="TH">เขียนเมื่อ </span>25 <span lang="TH">กรกฏาคม </span>2556</span><span style="font-family: Helvetica, sans-serif; font-size: 10.5pt;"><o:p></o:p></span></div>
</div>
ทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-28587479692291679982014-06-02T22:50:00.000-07:002024-03-25T02:19:08.612-07:00“..ปรับความเข้าใจฝ่ายวัด และฝ่ายบ้าน เกี่ยวกับเรื่องศาสนา และพระๆ..” ตอน 1<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<div style="box-sizing: border-box; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Helvetica Neue, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;">เข้าพรรษาแล้ว มีหลายที่ที่ฝนตก เข้าใจว่าทำให้โลกและบ้านเมืองเย็นลงมาบ้าง และข่าวคราวเรื่องของพระที่เป็นกระแสดังมาก ก็ผ่านไปแล้ว ทุกฝ่ายคงพอจะสงบจิตสงบใจลงได้บ้าง ผมจึงถือโอกาสนี้ชี้แจงเรื่องของพระภิกษุในสังคมไทยได้เสียที</span></div>
<div style="box-sizing: border-box; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Helvetica Neue, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;">ข่าวพระภิกษุในพุทธศาสนาที่ดังในกระแสข่าวของสื่อสารมวลชนทุกวันนี้ มองในแง่หนึ่งก็เหมือนจะประจาน ตำหนิติเตียน จนฝ่ายวัดมีพระภิกษุบางองค์น้อยใจว่าทำไมสื่อและพวกเราชอบลงแต่ข่าวไม่ดีของพระไม่ดี พระที่ดีๆทำไมไม่ลงข่าว</span></div>
<div style="box-sizing: border-box; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Helvetica Neue, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;">บางองค์ก็ถามกลับไปว่าสาเหตุมาจากพระฝ่ายเดียวหรือ พระพุทธศาสนาเป็นของบริษัท ๔ ทำไมพอมีเรื่องเกี่ยวกับพระ มักจ้องกันขุดคุ้ย แต่ทีฆราวาสโกง แย่งคู่ครอง เบียดเบียนกัน ฆ่ากัน นักการเมือง ข้าราชการล้วนสาบานสมาทานถือศีล ปฏิญาณตนนับถือพระรัตนตรัยก่อนทำบุญให้ทานทุกครั้ง แล้วยังถวายสัตย์ปฏิญาณสาบานตนต่อองค์พระมหากษัตริย์ ศีลเพียง ๕ ข้อยังรักษาไม่ได้ ไฉนไม่เรียก “ทุศีล”</span></div>
<div style="box-sizing: border-box; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Helvetica Neue, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;">บางองค์ก็ถึงกล่าวหาว่าพวกที่แพร่ข่าวพระไม่ดีต่อๆกัน ว่าเป็นพวกทำลายศาสนา ไม่รักชาติบ้านเมืองของไทย ถ้าอยากหาพระดี บริสุทธิ์ผ่องใส ทรงศีล ก็มาบวชเสียเอง (ฮา)</span></div>
<div style="box-sizing: border-box; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Helvetica Neue, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;">อันที่จริงผมก็เห็นด้วยทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายที่อยากให้พระสงบสำรวมตามสมณวิสัยมากขึ้น เพื่อไว้เป็นที่พึ่งทางใจ จะได้กราบไหว้แบบสนิทใจ แต่ผมไม่เห็นด้วยกับบางคนที่ใช้ภาษาค่อนข้างรุนแรง หยาบคาย แสดงถึงอารมณ์โทสะมากเกินไป และผมก็เห็นใจฝ่ายพระภิกษุที่หวั่นไหวไปตามกระแสข่าว กลัวว่าชาวบ้านจะเสื่อมศรัทธาพระ ตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดีที่จะทำลายศาสนาพุทธในเมืองไทยให้สูญหายไปมากกว่านี้ แต่ผมก็ว่า..บางองค์ใช้ภาษาที่แสดงอารมณ์ตัดพ้อต่อว่า น้อยใจญาติโยมที่เขียนว่ากล่าวรุนแรงไปเหมือนกัน</span></div>
<div style="box-sizing: border-box; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Helvetica Neue, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;">สำหรับผมในฐานะเคยบวชเรียนรู้เรื่องปริยัติมาบ้าง เคยฝึกจิตมาก็พอสมควร และผมมั่นใจว่าผมยังมั่นคงในพระรัตนตรัย และศรัทธาคำสอนของพุทธองค์เป็นอย่างยิ่งด้วยเศียรเกล้า</span></div>
<div style="box-sizing: border-box; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Helvetica Neue, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;">ผมจึงขอเรียนชี้แจงแทนฝ่ายชาวบ้านต่อพระภิกษุว่า พวกเราไม่มีเจตนาทำลายศาสนาพุทธที่เป็นของดีที่สุดในเมืองไทย แต่เพราะพวกเราเห็นคุณค่ามากเกินไป จึงเสียดายที่จะถูกคนพวกหนึ่งมาทำลายศาสนา ทั้งที่พระรุ่นก่อนๆ สอนพวกเรา และท่านทำตัวอย่างให้พวกเราดู จนพวกเราศรัทธา เชื่อว่าดีจริง จึงเรียกพวกท่านว่า “พระ (ผู้ประเสริฐ)” พวกเราจึงถวายการอุปถัมภ์ด้วยปัจจัย 4 และบางทีก็สรรหาของดีไปให้พวกท่านได้ฉัน พ่อแม่ของพวกเรายังไม่ได้กินของดีๆ แบบพวกท่านเลย เพราะพวกเราเชื่อว่าจะได้บุญ เมื่อได้ทำกับพวกท่านที่เป็น “สมณะ” (ขนาดพระเถระผู้ใหญ่ของพวกท่านหลายรูป ยังดุ ยังเตือนตำหนิ พวกเราเสมอว่า อย่ามัวไปทำบุญกับพระที่วัด จนลืมพระอรหันต์ที่บ้าน)</span></div>
<div style="box-sizing: border-box; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Helvetica Neue, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;">แต่พวกท่านบางองค์ตอบแทนพวกเราอย่างสาสม โดยการทำตัวเหลวแหลก ไม่ประพฤติตัวตามพระธรรมวินัย และที่หนักกว่านั้น ทำผิดศีลผิดข้อวัตรปฏิบัติแล้วไม่ว่า ยังนำเอารูปถ่ายที่ลามกจกเปรตบ้าง รูปถ่ายที่ทำผิด หรือเป็นคลิปวีดีโอบ้างมาเผยแพร่ในที่สาธารณะ</span></div>
<div style="box-sizing: border-box; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Helvetica Neue, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;">แต่ในขณะเดียวกันพวกท่านกลับยังจะเรียกร้องไม่ให้พวกผมวิจารณ์ในด้านเสื่อมเสีย ขอให้พวกเราชาวบ้านยังศรัทธา ก้มหน้าก้มตาถวายของให้พวกท่านใช้ ท่านกินเหมือนเดิม ไม่ว่าพระภิกษุสามเณรเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร โดยอ้างว่าวิจารณ์มากไปจะทำลายศาสนา แล้วจะให้พวกผมปล่อยวาง ทำใจอุเบกขา ความรู้สึกที่ไม่ดีต่อ “ผู้ทุศีล” นั้นได้อย่างไร</span></div>
<div style="box-sizing: border-box; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Helvetica Neue, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;">พวกท่านจะเห็นว่าในขณะที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยอบายมุข ก็ยังมีชาวบ้านมากมายหลายกลุ่มหลายคณะที่สนใจธรรมะ ชักชวนกันทำบุญที่นั่นที่นี่ ฝึกจิตปฏิบัติธรรม ซึ่งท่านจะเห็นพวกเรากลุ่มหนึ่งเปิดเฟสบุ๊ค ด้านนี้ไม่ใช่น้อย พวกเราส่วนหนึ่งนำธรรมะที่ดีๆที่ตนเองได้รับจากการปฏิบัติมาเผยแพร่ แชร์ต่อๆกัน บางคนก็นำข้อคิดจากหนังสือธรรมะของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ต่างๆมาลง ไม่ใช่ว่าพวกเราจะเหินห่างหรือศรัทธาต่อพุทธศาสนาน้อยลงเมื่อได้รับข่าวต่างๆของพระที่ไม่ดี หรือของพระดังๆ พวกเราแยกเรื่องราวของพระที่ไม่ดี กับพระที่ดี และศาสนาคำสอนอันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ออกได้ครับ</span></div>
<div style="box-sizing: border-box; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Helvetica Neue, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;">แต่...พวกผมทำใจไม่ได้ครับที่เห็นข่าวพระไม่ดีแบบนี้ จึงออกมาอ้อนวอนพวกท่าน โดยเฉพาะพระอุปัชฌาย์ เจ้าอาวาส พระสังฆาธิการทุกระดับช่วยกันควบคุม ดูแล อบรมสั่งสอนพระภิกษูสามเณรในสังกัดของท่าน ให้ดีหน่อยๆ ไม่ต้องถึงกับจะสร้างพระอริยะ หรือไม่ผิดศีลเลย ขอแค่ให้รู้จักละอายไม่ทำผิดศีล อาจาระต่อหน้าญาติโยม หรือทำผิดในที่ลับแล้วยังเอามาเผยแพร่อีก</span></div>
<div style="box-sizing: border-box; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Helvetica Neue, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;">แค่นี้แหละครับ ที่พวกเราร้องขอจากฝ่ายวัด</span></div>
<div style="box-sizing: border-box; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Helvetica Neue, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: xx-small;">เขียนเมื่อ 25 กรกฏาคม 2556</span></div>
</div>
ทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-65144119168471642382014-06-02T22:48:00.003-07:002024-03-25T02:19:10.265-07:00ข้อคิดก่อนเข้าพรรษา 2556 <div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;"><span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;">บุคคล หรือสังคม หรือองค์กรใดที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน หรือมีแต่ความวุ่นวายขัดแย้งเป้นประจำ</span></strong></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;"><span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;">สังเกตให้ดี จะเห็นว่าเพราะคนๆนั้น สังคมนั้นๆ องค์กรนั้นๆ มักนำเอาแต่ปัญหา หรือวิธีการขึ้นมาพูด หรือนำเสนอให้เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่โตที่สำคัญมาก (ทำนองหมกหมุ่นแต่ปัญหาทั้งวัน) </span></strong></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;"><span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;">สังคมหรือองค์กรที่เจริญประสบความสำเร็จ หรือบุคคลที่พัฒนาก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา ส่วนมากจะมุ่งไปที่ "เป้าหมาย หรืออุดมคติ" มากกว่า "ปัญหาและวิธีการ" เพราะไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม ต่อให้ทำได้ดีขนาดไหน ก็ต้องมีผิด มีพลาด มีพลั้ง มีเผลอจนได้ ไม่มีทางจะทำให้ได้ผลครบถ้วนได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกคน </span></strong></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;"><span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;"><br style="box-sizing: border-box;" /></span></strong></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;"><span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;">โบราณถึงสอนว่าเวลาทำบุญอะไร ให้อธิษฐานว่า "นิพพานัง ปัจจุโย โหตุ" นั่นก็ให้ระลึกว่า นิพพาน คือ เป้าหมายของชาวพุทธ </span></strong></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;"><span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;"><br style="box-sizing: border-box;" /></span></strong></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;"><span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;">แต่ขณะที่เวียนว่ายตายเกิดก็ต้องทำอะไรที่ผิดพลาดไปตามกิเลสตัณหา ไม่แม้แต่ผู้ตั้งใจเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ตาม แต่ถึงแม้ว่าจะผิดพลาดไปบ้าง หลงไปตกต่ำหลายชาติบ้าง แต่เป้าหมายที่ฝังลึกในจิตใจ ก็จะมีเหตุให้ได้สติ ยกระดับจิตใจขึ้นมาสู่เส้นทางพระนิพพานในที่สุด</span></strong></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;"><span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;"><br style="box-sizing: border-box;" /></span></strong></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;"><span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;">บ้านเมืองไทยที่ผ่านมา นำพระพุทธศาสนามาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต แต่..คนไทยกลุ่มหนึ่ง (แบบสลิ่มหรือพรรคการเมืองหนึ่ง) กลับชอบพูดแต่ "ปัญหา" "วิธีการ" มากกว่า "เป้าหมาย หรืออุดมคติ"</span></strong></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;"><span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;"><br style="box-sizing: border-box;" /></span></strong></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;"><strong style="box-sizing: border-box;"></strong><strong style="box-sizing: border-box;">ท่านทั้งหลายครับ ปัญหาไม่มีวันจบสิ้นจากชีวิต สังคม และโลกใบนี้ได้หรอกครับ เพราะถ้า "คน" ยังเป็น "คน" แต่...ถ้าเราสามารถยกระดับจิตใจของ "คน" ให้เป็น "มนุษย์" หรือ "เทวดา" หรือ "พรหม" หรือ "พระ" นั่นแหละปัญหาถึงจะเบาบางลงได้</strong></span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;"><span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;"><br style="box-sizing: border-box;" /></span></strong></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;"><span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;">เป้าหมาย" หรือ "อุดมคติ" จึงควรเป็นสิ่งที่ชาวพุทธเราควร"ตระหนัก" และยึดมั่นถือปฏิบัติให้มากทุกวัน โดยเฉพาะ "เป้าหมายที่ไปสู่พระนิพพาน"</span></strong></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;"><span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;"><br style="box-sizing: border-box;" /></span></strong></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;"><strong style="box-sizing: border-box;">ท่านทั้งหลายครับ </strong><strong style="box-sizing: border-box;">ปัญหาจริงๆแล้ว ไม่ได้มีไว้ให้ "แก้ไข" เพราะเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ก็แสดงว่ามันเป็นอดีตไปแล้ว แต่ปัญหาเป็นเรื่องที่ "คน" ต้องผ่านประสบการณ์ เพื่อเกิดการพัฒนา "การเรียนรู้"</strong></span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;"><span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;"><br style="box-sizing: border-box;" /></span></strong></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;"><span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;">สิ่งที่ทุกท่านพึงทำ พึงตั้งจิตให้มี "โยนิโสมนสิการ" คือ พยายามไม่ให้เกิดปัญหาแบบนั้นขึ้นมาอีก ถ้ายังมีเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายแบบนั้นอยู่.</span></strong></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;"><span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;"><br style="box-sizing: border-box;" /></span></strong></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;"><span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;">ขอทุกท่านโชคดี เกิด"การเรียนรู้" จนมี"สติและปัญญา" ในพรรษายุกาล ๒๕๕๖ นี้นะครับ</span></strong></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;"><span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;"><br style="box-sizing: border-box;" /></span></strong></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;"><span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif; font-size: xx-small;">เขียนเมื่อ 22 กรกฏาคม 2556</span></strong></div>
ทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-45331419520065422222014-06-02T22:48:00.000-07:002024-03-25T02:19:09.440-07:00หลากหลายความคิด ความรู้สึก กับข่าว สมีคำ และท่านมิตซูโอะ<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">เข้าพรรษาปีนี้ ท่ามกลางกระแสเณรคำ หรือสมีคำ กระแสข่าวพระมากมายที่ไม่ดีก็ยังไม่สามารถทำลาย</span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">กระแสความศรัทธาของชาวพุทธได้ วันนี้พุทธศาสนิกชนต่าง</span><span style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', serif;">หลั่งไหลทำบุญกันอย่างมากมายเหมือน</span><br />
<span style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', serif;">เดิม บางแห่งก็ล้นศาลาต้องปูเสื่อ นั่งใต้ต้นไม้ บางแห่งต้องเข้า</span><span style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', serif;">คิวทำบุญ พาลูกหลานเข้าวัดสร้างบุญ</span><br />
<span style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', serif;">สร้างกุศลกันอย่างคึกคัก</span><br />
<span style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">สำหรับเรื่องข่าวพระนี้ ที่จริงคนไทยส่วนใหญ่แยกออกมานานแล้วระหว่างวัด พระธรรมคำสอน นักบวช </span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">ควรจะเข้มข้นขนาดไหน</span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">เหตุการณ์เณรคำ หรือท่านมิตซูโอะ จึงไม่ส่งผลต่อศรัทธาชาวบ้านไทยๆ ที่มีต่อศาสนาพุทธ และการ</span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">ทำบุญทำกุศลแต่อย่างใด</span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">อีกอย่างเป็นเพราะว่า ชาวบ้านเข้าใจดีว่าพระมีหลายแบบ เช่น</span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">บวชเพื่อพ้นทุกข์ตัดกิเลสตัณหา พระองค์ไหนทำได้ หรือปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย : </span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">ชาวบ้านก็ศรัทธานับถือและอนุโมทนาด้วย</span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">องค์ไหนบวชแล้วมีพลังจิตสูงส่ง มีเวทมนต์แก่กล้า สามารถแก้ไขสิ่งร้ายๆในชีวิต หรือเวรกรรมเก่า</span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">ได้ ทำนองประเภทมีความศักดิ์สิืทธิ์ มีความขลังอย่างใดอย่างหนึ่ง </span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">มีวิชา หรือ อาคมที่ทำให้ชาวบ้านรวยได้ เจริญรุ่งเรืองได้ : แค่นี้ชาวบ้านก็แตกตื่น เทิดทูน เคารพอย่าง</span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">เต็มที่ อยากได้อะไรบอกมา จะหาให้ทันที</span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">องค์ไหนบวชเพื่อศึกษาเล่าเรียน เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา : ชาวบ้านก็ดีใจด้วย ถ้าเป็นมหาบาเรียน </span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">ก็ภูมิใจตามไปด้วย (สมัยนี้ไม่แน่)</span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">องค์ไหนมาบวชเพื่อให้พระเก่าๆฝึกฝนนิสัยขัดเกลากิริยามารยาท และจิตใจ : ชาวบ้านก็ชื่นชมองค์ไหน</span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">บวชแล้วเป็นที่พึ่งของชาวบ้านด้านการเจ็บป่วย ด้านพัฒนา </span><span style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', serif;">ด้านหมอดู : ชาวบ้านก็อบอุ่นใจว่ามีที่พึ่ง</span><br />
<span style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', serif;">องค์ไหนบวชเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา : ชาวบ้านก็ปลื้มใจ</span><br />
<span style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">องค์ไหนบวชเพื่อแก้บน บวชตอนแก่ บวชเพราะเฝ้าวัด : ชาวบ้านก็ทำใจ</span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">ไม่ว่าจะบวชอย่างไร แล้วล่วงเกินอาบัติเล็กอาบัติน้อยขนาดไหน ชาวบ้านก็ยังให้ความเคารพนับถืออยู่</span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">แต่...ถ้าองค์ไหนอาบัติปาราชิก ชาวบ้านรู้เข้าก็ทำใจไม่ได้</span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">ถึงขับไล่ไสส่งไม่ได้ ก็เลิกนับถือไม่เข้าวัดนั้นไปเลย</span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">ชาวบ้านจึงสามารถทำใจกับเรื่องราวของพระได้ ยกเว้นแต่คนในเมือง และสื่อสารมวลชนสมัยใหม่เท่านั้น</span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">ที่ทำใจไม่ได้</span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">ที่ชาวบ้านยังมั่นคงในการทำบุญสุนทานนั้น เพราะชาวบ้านส่วนมากนับถือศาสนาพุทธเพราะต้องการ</span><br />
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">ทำบุญ เพื่อให้ชีวิตเกิดมาเจอแต่สิ่งที่ดีๆ มีชีวิตที่ราบรื่นสงบสุข</span><span style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', serif;">ทุกชาติ ไม่ได้ตั้งใจที่จะปฏิบัติตามคำ</span><br />
<span style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', serif;">สอนของพุทธองค์ที่ให้เบื่อโลก เบื่อการเวียนว่ายตายเกิด จะได้ไม่กลับมาเกิดอีก</span><br />
<span style="font-family: Georgia, 'Times New Roman', serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;"><br /></span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Georgia, Times New Roman, serif;">พูดง่ายๆ ยังอยากสนุก ทุกข์ๆ สุขๆ แบบโลกอยู่ครับ</span></div>
ทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-53405106839633715802014-06-02T22:47:00.002-07:002024-03-25T02:19:10.082-07:00ทุกข์ = เพราะ "หลง" "ห่วง" "ยึด" "ติด"<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
มีผู้ถามผมว่า คนเราเกิดมาทำไม</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ทำไมต้องมีการสูญเสีย ทำไมต้องเป็นทุกข์</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ทำไมต้องรู้สึกท้อแท้ ทำไมต้องมีความผูกพัน</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
และทำไมต้องเป็นห่วงนั้น ห่วงนี้เสมอ</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
คำถามนี้ สามารถตอบสั้นๆ พระพุทธเจ้าท่านว่า </div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
“...คนเราเกิดมาเพราะคนๆ นั้น ยังมีอวิชชา(ความเห็นผิด), และตัณหา(ความอยาก)อยู่...”</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ความหลงเป็นเหตุให้เข้าใจผิด หรืออยาก</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ความเห็นผิดเป็นเหตุให้เกิดความหลง ความอยาก</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ทั้งความหลง และความเห็นผิด จึงเรียกว่า "อวิชชา"</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
เป็นความมืดบอดของใจ</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ความหลง เช่น หลงตัวตน หลงศักดิ์ศรี</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
หลงอำนาจวาสนา หลงคิด หลงจินตนาการ</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
หลงความสนุก หลงสุข หลงสบาย</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
หลงร่างกายที่มีรูปร่างสวยงาม ฯลฯ</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ความเห็นผิด เช่น เห็นว่าชีวิตตัวเองต้องขยันรวย</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ขยันเรียน ขยันทำงาน เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
เห็นว่าความรักเป็นสิ่งดี เป็นสิ่งมีคุณค่าที่สุด</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
อยากให้รักกันชั่วฟ้าดินสลาย ชั่วนิจนิรันดร์</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
อยากให้ชีวิตมีแต่ความสุขทุกวัน</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
อยากให้ตัวเองเป็นคนดี ทำอะไรไม่ผิดพลาดเลย</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
อยากให้ชีวิตเจอแต่สิ่งดีๆ ขอให้เจอแต่คนดี</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
คนที่รักฉัน เข้าใจฉัน ตามใจฉัน</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ส่วนที่ถามว่า ทำไมต้องมีการสูญเสีย</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ทำไมต้องเป็นทุกข์ ทำไมต้องรู้สึกท้อแท้</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ทำไมต้องมีความผูกพัน และทำไมต้องเป็นห่วง</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ก็ตอบง่ายอีก “...ก็เพราะเราหลงผิด เห็นผิด”</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ทุกข์เกิด เพราะเราไปยึดมั่นถือมั่นว่า</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
"...ทุกสิ่งต้องเป็นไปตามที่เราคาดหวัง..."</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
“...ไม่หลง ไม่ห่วง ไม่ยึด ไม่ติด...” ก็ไม่มีทุกข์ครับ</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
*******แต่...มันทำยากครับ *****</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
เพราะ....ใจยังมองไม่เห็นและยอมรับความจริงของชีวิตและสรรพสิ่ง(ธรรมะ)ว่า "....ทุกอย่างในโลกนี้ มีลักษณะเป็นไตรลักษณ์เหมือนกันหมด (ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา)..."</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
สาเหตุที่พวกเราต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก มีหลายสาเหตุครับ แต่หลักๆ คือ</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
1. เห็นว่าโลกนี้ยังน่าสนุก น่าอยู่</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
2. ยึดมั่น ติดใจ ชอบ กับคนใดคนหนึ่ง หรือสังคมนั้นๆ</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
3. เกลียด เจ็บใจ แค้น กับคนใดคนหนึ่ง หรือสังคมนั้นๆ</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
4. มาเรียนรู้แก้ไขนิสัย จิตใจ พฤติกรรมตัวเองที่เคยทำผิดพลาดไป</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
5. อยากมาช่วยแก้ไขพัฒนาคนหรือสังคม</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ถ้าเชื่อมั่นพระพุทธเจ้า จนเข้าใจ เห็นจริงแล้ว</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ก็อย่ากลับมาอยากเวียนว่ายตายเกิดอีกเลยครับ</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
จะได้ไม่ต้องมาเจอความเปลี่ยนแปลง</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
และความทุกข์ที่จะได้รับเหมือนในชาตินี้อีก</div>
ทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-10180431114080613572014-06-02T22:46:00.002-07:002024-03-25T02:19:07.781-07:00ชีวิตที่เลือก "ได้" : ภพชาติที่เลือก "เป็น"<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">ชีวิตที่ "เลือก" ได้</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">คนที่เข้าใจว่า “ชีวิต” และ “กายกับใจ” เป็นสิ่งเดียวกัน จึงแสวงหาทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองคิดว่า “ดี” “ถูก” “มีคุณค่า” มาบำรุงบำเรอร่างกาย ปรนเปรอจิตใจ คนประเภทนี้ คือ “คน”</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">และธรรมชาติของจิต “คน” ที่ไม่ได้รับการฝึกหัด วันหนึ่งๆ จิตของคนนั้นๆ จะหมุนเวียนอยู่ในภพน้อยภพใหญ่อยู่ทั้งวันทั้งคืน เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดิ้นรนไปเรื่อยๆ ปรุงแต่งไปเรื่อยๆ โดยมี “ตัณหา” เป็นแรงผลักดัน สภาพจิตจึงเดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย ปรุงแต่งสร้างอารมณ์ไปตามสิ่งที่มากระทบอยู่ตลอดเวลา อาทิ</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">คนที่จิตใจ ชอบมักฟุ้งซ่าน ใจลอย ปล่อยใจไปตามสิ่งแวดล้อมที่มากระทบ มีโมหะมาก ถ้าไม่ใจลอยก็ฟุ้งซ่านอุตลุด ไม่ก็ซึมไป ไม่ก็ลังเลสงสัย ไอ้โน่นก็ไม่รู้ ไอ้นี่ก็ไม่รู้ หรือมันอย่างโน้น หรือมันอย่างนี้ คิดมาก พวกคิดมาก ลังเลใจมากคนประเภทนี้อยู่ในสภาพจิต (ภพ) “เดรัจฉาน”</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">คนที่จิตใจมีแต่ความเร่าร้อนด้วยราคะ แผดเผาจิตใจด้วยความริษยาอาฆาต เห็นใครดีกว่าไม่ได้ จิตใจไม่แช่มชื่นไม่เบิกบาน เจือด้วยโทสะ เจือด้วยความทุกข์ตลอดเวลา คนประเภทนี้อยู่ในสภาพจิต (ภพ) “นรก”</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">คนที่จิตใจมีแต่ความโลภ โลภอยากได้โน่น ได้นี่เสมอ ไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี โดยไม่สนใจถูกผิดดีชั่ว คนประเภทนี้อยู่ในสภาพจิต (ภพ) “เปรต”</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">คนที่จิตใจหลงคิดว่าตัวเองแน่ ตัวเองเป็นหนึ่ง ยึดมั่นถือมั่นตัวเองมาก ยึดถือในความเห็นจัดๆตัวเองถูกแต่เพียงผู้เดียวอย่างรุนแรง มีมานะทิฏฐิสูง ไม่ฟังใคร คนประเภทนี้อยู่ในสภาพจิต(ภพ) “อสุรกาย”</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">คนที่จิตใจมีศีล รู้จักห้ามใจตนเอง มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี มีน้ำใจบ้าง คนประเภทนี้อยู่ในสภาพจิต (ภพ) “มนุษย์”</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">คนที่จิตใจมีความสุข ชอบทำบุญทำกุศล มีความละอายบาป เกรงกลัวต่อบาป คนประเภทนี้อยู่ในสภาพจิต (ภพ) “เทวดา”</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">คนที่จิตใจมีความสงบ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาในจิต คนประเภทนี้อยู่ในสภาพจิต (ภพ) “พรหม”</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">แต่...ถ้าเราสามารถฝึกหัดให้จิตใจ “มีสติ” รู้ทันจิต รู้ทันใจ รู้ทันกาย รู้ทันความเคลื่อนไหวของกาย รู้ทุกสิ่งด้วยความเป็นกลางด้วยจิตที่ตั้งมั่น จิตจะหมดความดิ้นรน หมดความอยาก จิตไม่ถูกตัณหาผลักดัน จิตจะเป็นอิสระขึ้นมา คนประเภทนี้อยู่ในสภาพจิต (ภพ) “พระ” หรือ "พุทธะ"</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">แล้วตัวท่านคิดว่าจิตของท่าน ในแต่ละวันส่วนมากจะอยู่ในสภาพจิตแบบไหน ?</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">และถ้าท่านรู้ว่า ส่วนมากท่านมีสภาพจิตแบบไหน ท่านก็สามารถทำนายตัวเองได้เลยว่า เมื่อสิ้นชีวิตลงตัวท่านจะไปเกิดในภพภูมิใดต่อไป</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">ก็ได้แต่ขอให้ทุกท่าน "สร้างภพในแต่ละวัน และในแต่ละชาติต่อไปให้ดีๆ "</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">ชีวิตของท่านเป็นอย่างไร ท่าน "เลือก" แล้ว</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">...................</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">เมื่อเข้าใจว่า...เมื่อกายเจ็บหรือทุกข์ ใจก็เจ็บหรือทุกข์ด้วย เป็น “คนธรรมดา”</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">เมื่อเข้าใจว่า...กายเจ็บหรือทุกข์ แต่ใจบางครั้งก็ไม่เจ็บหรือทุกข์ตาม เป็น “คนพอมีสติ”</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">เมื่อเข้าใจว่า...กายเจ็บหรือทุกข์ก็ส่วนกาย ใจก็ส่วนใจไม่เจ็บ ไม่ทุกข์ตาม เป็น “คนมีสติ”</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">เมื่อเข้าใจว่า...กายและใจมีแต่ทุกข์ จิตแค่ “เฝ้าดู เฝ้ารู้” เป็น “พระ” ไม่ใช่ “คน”</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">เมื่อเข้าใจว่า...กายก็ไม่มี จิตก็ไม่มี มีแต่จิต "รู้ ตื่น เบิกบาน" เป็น "พุทธะ"</span></div>
ทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-38611569521679819822014-06-02T22:45:00.002-07:002024-03-25T02:19:09.075-07:00นับถือพระรัตนตรัยอย่างไร จึงจะเป็นชาวพุทธที่แท้จริง<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
หลายปีมาแล้ว ผมเพิ่งเข้าใจว่า</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
“พระรัตนตรัย” ที่แท้จริง คืออะไร</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
“การนับถือพระรัตนตรัย” ที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
สมัยก่อน มีคำกล่าวว่า....</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
“...กราบพระพุทธ อย่าติดปูนปั้น กราบพระธรรมอย่าติดคัมภีร์ กราบพระสงฆ์อย่าติดลูกชาวบ้านคนห่มเหลือง…”</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
“...พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า คัมภีร์บังพระธรรม และลูกชาวบ้านบังพระสงฆ์...”</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ตั้งแต่จำความได้ ก่อนพระจะทำพิธีกรรมใดๆ</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
พระท่านจะให้ไตรสรณาคมน์ รับศีลเสมอ</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ผมก็ว่าตามพระ บางทีก็ทำปากขมุบขมิบตามพระไปอย่างนั้น</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ต่อมาได้เข้าไปบวชเรียน เป็นผู้ให้ไตรสรณาคมน์ และศีล</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ก็ว่าตามแบบแผนไป ไม่รู้เรื่องอะไรมากกว่ารูปแบบพิธีกรรม</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
แต่...ก็สังเกตว่าชาวบ้านว่าตามพระไปอย่างนั้นแหละ พอสักแต่ว่า “ได้ทำ”</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
หลังจากพอรู้เรื่องราวทางศาสนาพุทธมากขึ้น</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
วันหนึ่งเกิดเอะใจ สงสัยขึ้นมาว่า ปกติพระพุทธองค์ทรงสอนให้พวกเรา</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
“รู้จักพึ่งตนเอง” (อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ) นี่นา</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
แล้วทำไมพระพุทธองค์ จะทรงสอนให้พวกเรานับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
เป็นที่พึ่ง เป็นที่ยึดถือ เป็นที่ระลึกอีกล่ะ</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ท่านเน้นว่าไม่มีที่พึ่ง ที่ยึดถือใดประเสริฐกว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อีกแล้ว</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
พูดง่ายๆ คือให้เอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยวชีวิตนั่นแหละ</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
แสดงว่าท่านใช้ “ศรัทธา” นำหน้าเหมือนศาสนาอื่นอยู่ดีละมั้ง</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
คำสอนท่านไม่ขัดแย้งกันหรือ สงสัยมานานก็ยังไม่ได้คำตอบที่พอใจ สนิทใจสักเท่าใด</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
หลังจากละเรื่องเรียน มาฝึกหัดพัฒนาจิตหลายปี</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
จนวันหนึ่งนึกขึ้นได้ว่า เรามัวแต่ไปคิดว่า</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็น “สิ่ง” หรือ “บุคคล” (ปุคคลาธิษฐาน)</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ทำไมเราไม่คิดว่า เป็น “ภาวะ” หรือ “สภาวะ” ของจิตบ้าง (ธรรมาธิษฐาน)</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
พอนึกขึ้นได้ จึงนำเทียบเคียงทั้งความหมาย และรากศัพท์</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ก็พลอยหายสงสัย ที่นึกว่าขัดแย้งก็ไม่ขัดแย้ง แถมลงรอยอย่างสนิทกัน</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
และต่อมานึกขึ้นได้ว่า ในขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พุทธวรรคที่ 14 พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า “ มนุษย์เป็นอันมาก เมื่อถูกภัยคุกคามแล้ว ย่อมยึดเอาภูเขา ป่าไม้ อารามและรุกขเจดีย์ ว่าเป็นสรณะ สรณะนั่นไม่เกษม สรณะนั่นไม่อุดม เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั้นแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ส่วน...บุคคลใดยึดเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ คือ การเห็นอริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์(สมุทัย) ความดับทุกข์ (นิโรธ)และมรรคมีองค์แปดอันประเสริฐ ซึ่งยังสัตว์ให้ถึงความพ้นทุกข์ ด้วยปัญญาอันถูกต้อง สรณะนั่นแลเกษม สรณะนั่นอุดม เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั้นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้”</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
จึงเข้าใจแจ่มแจ้งว่า การนับถือพระรัตนตรัย ก็คือ การพัฒนาตนเองให้มี “สติ” และ “ปัญญา” สามารถเข้าใจและยอมรับความจริงของสัจธรรมชีวิต เช่น โลกธรรม 8 ไตรลักษณ์ 3 อริยสัจ 4 จนปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดอีก</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ผมจึงขอจำแนกการนับถือพระรัตนตรัยสำหรับชาวบ้าน ตามทัศนะของผม ออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;">ระดับที่ 1</strong> การนับถือพระรัตนตรัย ในฐานะและเชื่อว่า พระพุทธ คือ พระพุทธองค์ พระธรรม คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ คือ สาวกผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;">ระดับที่ 2</strong> การนับถือพระรัตนตรัย ในฐานะและเชื่อว่า เป็นการระลึกถึงคุณค่าของพระรัตนตรัย อาทิ กราบพระพุทธ หมายถึง การกราบคุณค่าของพระพุทธองค์ 9 ประการ โดยย่อ 3 ประการ, กราบพระธรรม หมายถึง คุณค่าของพระธรรม 6 ประการ, กราบพระสงฆ์ หมายถึง กราบคุณค่าของพระสงฆ์ 10 ประการ</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;">ระดับที่ 3</strong> การนับถือพระรัตนตรัย ในฐานะและเชื่อว่า ถ้าฝึกจิตให้รู้ ให้ตื่น ให้เบิกบาน (มีสติ) ในอริยสัจ 4 ก็คือ การมีพระพุทธ เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก, ถ้าฝึกให้รู้จัก ให้เห็นความจริงต่างๆ ของทุกสรรพสิ่ง และอริยสัจ 4 ก็คือ การมีพระธรรม เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก, และการฝึกให้ "ใจ" มี “ปัญญา” ยอมรับตามธรรมะนั้น และปฏิบัติตนตามธรรมะ(ความจริง)นั้นๆ ตามอริยสัจ 4 ก็คือ การมีพระสงฆ์เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
ก็หวังว่า พุทธศาสนิกชนชาวไทย จะนับถือพระรัตนตรัยในระดับที่ 3 มากขึ้นนะครับ</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
...ขอแถมครับ...</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;">พุทธะ</strong> แปลว่า รู้ ตื่น เบิกบาน ........ยสฺมา วา จตฺตาริ สจฺจานิ อตฺตนาปิ พุชฺฌิ อญฺเญปิ สตฺเต โพเธสิ ตสฺมา เอวมาทีหิปิ การเณหิ พุทฺโธ (วิสุทธิมัคค ๑/๒๑๘) แปลว่า ........หรือว่าเพราะเหตุที่พระองค์ตรัสรู้อริยสัจสี่ แม้ด้วยพระองค์เองแล้ว ก็ทรงโปรดสัตว์เหล่าอื่นให้ตรัสรู้ (ตาม) ได้ เพราะฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า พุทธะ แม้เพราะเหตุอย่างที่กล่าวมาแล้วเป็นต้นนี้.. (พุทฺธ เป็น ธาตุ เป็นรากศัพท์ แปลว่า รู้, พุทฺธ : (วิ.) ผู้รู้, ผู้ตรัสรู้. มาจาก พุธฺ โพธเน, โต. แปลง ต เป็น ทฺธ ลบที่สุดธาตุ)</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;">ธัมมะ</strong> มาจากรากศัพท์ว่า ธรฺ หรือ ธา แปลว่า ทรงไว้ สภาพที่...ทรง...ไว้ (ยก, พยุง, สนับสนุน, เกื้อหนุน) หมายถึง สภาวะความจริงของสิ่งต่างๆ</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<strong style="box-sizing: border-box;">สงฆ์ </strong>หมายถึง ผู้บรรลุธรรมเป็นอริยบุคคล 4 จำพวก มีวิเคราะห์ตามพระบาลีว่า “สํโยชนํ ฆาเตตีติ สงฺโฆ (ปุคฺคโล). บุคคลใด ย่อมฆ่าซึ่งสังโยชน์ เหตุนั้น บุคคลนั้น ชื่อว่า สงฆ์ (ผู้ฆ่าซึ่งสังโยชน์)”</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
(สงฆ์ มาจาก สังโยชน เป็นบทหน้า (ลดรูปเหลือเพียง สัง) .. ผสมกับ หน แปลว่า ฆ่า (หน ศัพท์นี้แปลงเป็น ฆาต หรือ ฆ ได้ตามหลักไวยากรณ์) ลง อ ปัจจัย (สังโยชน - สงฺ + หน - ฆ + อ = สงฆ์) ฉะนั้น สงฆ์ ตามนัยนี้จึงแปลว่า ผู้ฆ่าซึ่งสังโยชน์ ..(สังโยชน์ เป็นชื่อของกิเลส ซึ่งอาจแปลได้ว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดหรือประกอบสัตว์ไว้ในภพเพื่อมิให้หลุดพ้น)</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
อีกนัยหนึ่ง แปลว่า หมู่ คณะ พวก กลุ่ม ตามพระวินัยกำหนดภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปว่า สงฆ์ คำว่าภิกษุสงฆ์ เป็นคำสมาส แปลว่า หมู่แห่งภิกษุ มีอรรถวิเคราะห์ว่า ภิกฺขูนํ สงฺโฆ ภิกฺขุสงฺโฆ อันว่าหมู่แห่งภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า ภิกษุสงฆ์ (หมู่แห่งภิกษุ) / สงฆ์ ในนัย "ภิกขุสงฆ์" จึงแปลว่า หมู่ คณะ กลุ่ม หรือพวก เป็นต้นเท่านั้น มิได้หมายถึงภิกษุโดยเฉพาะ.. เพราะมีคำว่า ภิกษุ ยืนยันอยู่ด้านหน้าแล้ว</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
คำว่า พระ มาจากบาลีว่า วฺร แปลว่า ประเสริฐ (คำสันสกฤต).ถ้าจะกล่าวเป็นคำไทยแท้ก็น่าจะหมายถึง เลิศ, ดี, เยี่ยม, ควรแก่การยกย่อง, ควรแก่การเชิดชู, ประมาณนี้</div>
ทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-13556533635801186852014-06-02T22:44:00.005-07:002024-03-25T02:19:07.961-07:00"ศาสนา" ไม่วันสูญหายหรือเสื่อมไปจากมนุษย์<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">คนธรรมดาสามัญมักจะตระหนกกลัวว่า "ศาสนา" จะสูญหาย หรือเสื่อม เมื่อได้รับข่าวคราวที่ไม่ดีจากคนในวงการศาสนา</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">แต่ขอให้ทุกท่าน "สบายใจ" ได้ว่า ศาสนาจะไม่มีวันเสื่อมหรือสูญหายไปจากมนุษย์หรือโลกหรอกครับ</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">เพราะว่า</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">...............</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">"ศาสนา" เกิดจากมนุษย์พยายามหาทางแก้ปัญหา หรือความทุกข์ของชีวิต</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">แต่...ที่มีศาสนาหลากหลายเป็นเพราะ "คนต้นคิด" มองปัญหาหรือทุกข์ และการแก้ปัญหาไม่เหมือนกัน</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">* ศาสนาที่นับถือพระเจ้า เช่น ศาสนาคริสต์ ฮินดู อิสลาม ฯลฯ เชื่อว่าปัญหาต่างๆ ของมนุษย์เกิดจากพระผู้เป็นเจ้าบันดาล เพราะมนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไม่จงรักภักดีพระเจ้า ขัดคำสั่งพระเจ้า</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">* ดังนั้นการแก้ปัญหาของศาสนาเหล่านี้ จึงแก้ด้วยการ "มอบใจ" "เชื่อใจ" ให้ความรัก ให้ความเชื่อมั่น ไว้วางใจกับพระเจ้า จงรักภักดีพระเจ้า สารภาพบาปไถ่บาป และอ้อนวอน บวงสรวงพระเจ้า เพื่อให้พระเจ้าพอใจ จึงจะบันดาลให้ปัญหาหมดไป ได้รับแต่สิ่งที่ดีๆในชีวิต</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">.................</span></div>
<br />
<li style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px;"><span style="font-size: xx-small;">แต่....ศาสนาพุทธเห็นว่าปัญหาของชีวิต ล้วนเกิดจาก "จิตใจ" ของมนุษย์ที่ไม่มี "สติ" และมี "ปัญญา" พอ จึงหลงผิด(อวิชชา) ปล่อยให้ความอยากชนะจิตใจ (ตัณหา)</span></li>
<li style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px;"><span style="font-size: xx-small;">ดังนั้น การจะแก้ปัญหาชีวิตให้หมดไปตามแนวทางศาสนาพุทธ จะต้อง "ฝึก" "อบรม"(สอน) จิตใจตนเองให้มีสติและปัญญามากยิ่งขึ้น จนกว่าสติ (ระลึกรู้เท่าทันตามความเป็นจริง) และปัญญา(ความรู้แจ้งหรือการยอมรับตามความเป็นจริงนั้น ) สามารถรู้เท่าทันธรรมะ (ความจริง ,ความถูกต้อง) จนปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปัญหาและความทุกข์ก็จะไม่มีใน "จิตใจ"อีก</span></li>
<br />
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">***********</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">เมื่อ "เข้าใจ" ศาสนาผิด ก็ " นับถือ" ศาสนาผิดๆ</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">มนุษย์ส่วนมาก นับถือศาสนา "ผิดๆ" เพราะ</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">๑. เข้าใจว่า ศาสนา หมายถึง สิ่งที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">๒. เข้าใจว่า ศาสนา หมายถึง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้าผู้บันดาล</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">๓. เข้าใจว่า ศาสนา หมายถึง สิ่งที่คนนับถือต่อๆกันมาว่าเป็นสิ่งดี สอนให้เป็นคนดี</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">๔. เข้าใจว่า ศาสนา หมายถึง สถาบัน รูปแบบ เช่น วัด โบสถ์ วิหาร มัสยิด สุเหร่าฯลฯ</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">๕. เข้าใจว่า ศาสนา หมายถึง รูปแบบตัวบุคคล เช่น นักบวช นักพรต โยคี พระ บาทหลวง พราหมณ์ ฯลฯ</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">๖. เข้าใจว่า ศาสนา หมายถึง พิธีกรรมต่างๆ ทั้งที่เป็นประเพณีพิธีกรรมทางศาสนา และพิธีกรรมที่เป็นการสวดมนต์อ้อนวอนบวงสรวงขอพร</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">....................</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">ความเข้าใจ “ศาสนา” ที่ถูกต้อง</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">ที่จริง "ศาสนา" ไม่ใช่เรื่องลึกลับ หรือเรื่องศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นสถาบันสร้างคนดี หรืออะไรๆมากมาย ตามที่คนรุ่นหลังพยายามสร้าง "ศาสนา" ให้เป็น "สถาบัน"</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">ศาสนาจริงๆ ล้วนเกิดจากมีผู้มาชี้แนะ หรือแนะนำ แนวทางในการแก้ปัญหาชีวิต หรือความทุกข์ของชีวิต เพื่อทำให้มีความสุข ความสบายใจ หรือเพื่อทำให้จิตใจเจริญขึ้น สูงขึ้น ประณีตละเอียดยิ่งขึ้น</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">เมื่อ "คำสอน" นั้น "คำแนะนำ" นั้น มีผู้เชื่อถือ ปฏิบัติตาม และได้ผลดีจริงตามที่เขาต้องการ คนรุ่นต่อมาจึงกำหนดเป็น "หลัก" มี "กฎ" มี "เกณฑ์" การใช้ชีวิตต่างๆขึ้นมา</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">แต่ที่มีพิธีกรรมขึ้นมาให้ดู น่านิยม ศรัทธา ขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ล้วนมีเจตนาแอบแฝงทั้งนั้น</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">เพราะศาสนาจริงๆ ก็แค่แนวทาง หรือวิธีการแก้ปัญหาอย่างหนึ่งของมนุษย์คนหนึ่ง ที่แนะให้เห็นว่า ปัญหาชีวิต หรือทุกข์ทั้งหมดของมนุึษย์ล้วนเกิดมาจาก "จิตใจที่ไม่ดี" ถ้าจะแก้ปัญหาให้ได้ ต้องแก้ที่ "ใจ" ก่อน</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">แต่....ใครจะแก้โดยวิธีใด ก็ขึ้นอยู่ที่เห็นหรือคิดว่า "เพราะอะไร" ใจจึงไม่ดี</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">**********</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">สรุปได้ว่า.....</span></div>
<br />
<li style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px;"><span style="font-size: xx-small;">ศาสนา จะไม่มีวันสูญหาย หรือสูญสิ้น เสื่อมไปจากโลกนี้ ถ้าตราบใดมนุษย์ยังคงมีคนกลุ่มหนึ่งเห็นว่า ปัญหาชีวิตนั้นอยู่ที่ "ใจ" เป็นตัวการ</span></li>
<li style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px;"><span style="font-size: xx-small;">และที่สำคัญเพราะมนุษย์ต้องมีปัญหาชีวิตอยู่เสมอตลอดเวลา และมนุษย์ก็คงพยายามหาทาง "แก้ปัญหา" ให้กับตัวเองเรื่อยไป</span></li>
<li style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px;"><span style="font-size: xx-small;">แต่ศาสนาพุทธ คริสต์ ฮินดู อิสลาม ฯลฯ สามารถเสื่อมสูญสิ้นไปได้ เพราะถ้าคำสอนหรือวิธีการของศาสนานั้นๆ ไม่สามารถแก้ปัญหาชีวิตให้มนุษย์ที่นับถือได้อีก หรือมนุษย์ไม่ศรัทธาศาสนานั้นด้วยเหตุใดก็ตาม ศาสนานั้นจะเสื่อมหรือสูญสิ้นไปในที่สุด</span></li>
<li style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px;"><span style="font-size: xx-small;">แต่ในไม่ช้ามนุษย์ก็ต้องหาทางแก้ปัญหาชีวิตกันใหม่ แล้วศาสนาใหม่ก็เกิดขึ้นทดแทนกันต่อไป ถ้า...ตราบใด ยังมี "มนุษย์" และ "โลก" นี้อยู่</span></li>
<br />
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">**********</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">ดังนั้น…….</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">คนที่กลัว "ศาสนาจะเสื่อม" ก็ไม่ต้องกลัวนะครับ เพราะ "ตัวศาสนาไม่มีวันเสื่อม"</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">สิ่งที่เราควรกลัว คือ คนไทย สังคมไทย จะไม่ได้เห็น ได้ยินคำชี้แนะในการแก้ปัญหาหรือความทุกข์ที่ถูกต้องตามสัจธรรม หรือสื่งดีๆ จากหลักศาสนาพุทธอีกต่อไปมากกว่า</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">เพราะ "...ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ ไม่ได้ยิน..." หลักธรรมะ(ความจริง) ที่พระพุทธองค์ทรงสอน ชี้แนะไว้</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">ถ้า....เรายังปล่อยปละละเลย ให้คนที่แอบอ้าง "ศาสนาดีๆ" แบบศาสนาพุทธ ไม่ว่าจะเป็นบุคคล หรือผู้ที่ปฏิญญาตนว่าเป็น "นักบวชในศาสนาพุทธ"</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">แต่...กลับไม่เคยปฏิบัติตาม หรือยึดมั่นตามหลักคำสอน คำแนะนำของพุทธองค์(เจ้าชายสิทธัตถะ) ที่ให้ “ฝึกสติ สร้างปัญญา” เพื่อให้ "ละคลายความยึดมั่นถือมั่นตัวตน" ในการดำเนินชีวิตแพร่หลายมากขึ้นทุกวัน</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">มิหนำซ้ำยังไปเอาเครื่องรางของขลัง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พิธีกรรม หรือยกย่องสถาบัน หรือบุคคลที่คิดว่า "ดี" มาเป็นสรณะ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ หรือชีวิต แทนพระรัตนตรัย</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">คราวนี้ก็จะเห็น **ศาสนาพุทธ "เสื่อม" "สูญ" และ "หาย" ไปจาก...คนไทย ประเทศไทย** แน่นอนครับ</span></div>
ทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7380748709323478516.post-13825131983476779682014-06-02T22:44:00.002-07:002024-03-25T02:19:08.051-07:00ทำไมสังคม จึงควรมีปรัชญา และ ศาสนาเป็นพื้นฐาน<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">หลายท่านอาจจะสงสัยว่า ปรัชญา ศาสนา การเมือง ไปด้วยกันได้ไหม ?</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">จริงๆ แล้ว ปรัชญา เป็นแค่ "แนวคิดหนึ่ง" ของมนุษย์ ที่พยายามหาเหตุผลที่มีความเป็นไปได้มาอธิบายเรื่องราวต่างๆ</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">ปรัชญา จึงไม่ใช่ข้อสรุป เป็นแค่ "แนวคิด" เท่านั้น</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">ส่วนศาสนา เป็นเรื่อง ของ"แนวทาง หรือคำแนะนำ" การใช้ชีวิตเพื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น แก้ปัญหา แก้ทุกข์ ฯลฯ โดยชี้ให้เห็นว่า ปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้นที่ "ใจ" แต่บางศาสนาให้เชื่อว่า "เกิดจากใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งดีงาม หรือเชื่อในพระเจ้า" แต่...ศาสนาพุทธ ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาหรือทุกข์ของคน เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นหลงผิด ของ "ใจที่ไม่มีสติปํญญาพอ"</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">ส่วนการเมือง ก็เป็นเรื่องของคนในสังคมที่จะต้องเลือกว่า "จะอยู่ หรือ จะใช้" แนวทางของระบบ หรือระบอบการปกครองเช่นใดเป็นแนวทางการดำรงชีวิตร่วมกัน</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">ดังนั้น เรื่องบางเรื่อง เราไม่สามารถที่จะมองดูเหตุการณ์ต่างๆ รอบตัว แบบแยกส่วนได้ ต้องใช้วิธีการมองดูเรื่องราวต่างๆ รอบตัวทั้งเรื่อง ชีวิต การทำงาน ครอบครัว ความรัก การเมือง ฯลฯ แบบบูรณาการ หรือองค์รวม</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">แต่ที่เรา ยกข่าวการเมือง หรือกระแสความเห็นต่อการเมือง เพราะการเมืองกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนรับรู้ร่วมกันมากมาย ถ้ายกละคร หรือบางเรื่อง ก็อาจจะมีผู้รับรู้ไม่กี่คน</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">ตัวอย่าง ข่าวการเมืองดังๆ หรือกระแสความเห็นต่อการเมือง ก่อนที่เราจะเชื่อ เราก็ควรใช้เหตุผล(ตรรกะ)ต่อข่าวนั้นๆก่อน แล้วหาข้อมูล ข้อเท็จจริงเพิ่ม (นี่คือปรัชญา) แล้วมาเทียบเคียงกับหลักศาสนาว่ามันควรเป็นอย่างไร (สติ-ปัญญาในศาสนาพุทธ) และบ้านเมืองเราจะเป็นอย่างไร หรือควรเป็นอย่างไร(รัฐศาสตร์ - การเมือง) เป็นต้น</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">บางครั้งผมจึงให้ความเห็นก่อนพิจารณาข่าวต่างๆ แก่นักศึกษาว่า "เชิญพิจารณาดูข้อมูลแต่ละชุด ว่าน่าเชื่อแค่ไหน" หรือ "ข้อมูลอีกด้าน" บางโพสต์ เช่น โพสต์สหายคำตัน ผมก็ให้ความเห็นต่อท้ายเช่น "นี่ก็เป็นการเมืองแบบไทยๆ และความย้อนแย้งที่ยากจะหาพบได้ที่ไหนในโลก"</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">เพื่อกระตุ้นให้ผู้อ่านได้ใช้ปรัชญา หลักศาสนาที่ตนเองนับถือ เป็นหลักในการรับรู้หรือเสพข่าวสารนั้นๆ ครับ</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">ผมจึงนิยมใช้คำว่า "ปรัชญา ศาสนา สังคม การเมือง" และต่อท้ายว่า (โลกกว้างทางการศึกษา) ไงครับ</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">ถ้า...ทุกท่านรับรู้ และ เสพข่าวสารด้วยปรัชญา และใช้สติปัญญาตามหลักศาสนาพุทธ....</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 10px; margin-bottom: 10px;">
<span style="font-size: xx-small;">แค่นี้ผมก็ชื่นใจแล้วครับ</span></div>
ทัศนะ แนวคิด : ณัฐวิทย์ พรหมศรhttp://www.blogger.com/profile/04875838701686967795noreply@blogger.com0