โดยปกติแล้วคนเรามีแนวโน้มจะเชื่อเรื่องดีๆ ของฝ่ายเราเอง แม้ว่ามันจะเป็นการโกหก และเลือกที่จะเชื่อเรื่องชั่วๆของฝ่ายตรงข้ามแม้ว่าจะเป็นการโกหก โดยไม่ยอมใช้เหตุผล ไม่ยอมใช้วิจารณญาณในการไตร่ตรองใดๆ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
ตามหลักจิตวิทยาแล้ว เป็นเพราะคนเรากลัวความจริง กลัวว่าความจริงจะไม่เป็นแบบที่ตัวเองคิด ตัวเองจะเชื่อและเปลี่ยนความเชื่อตาม ซึ่งจะทำให้ "ตัวตน" ของตัวเองเสียไป คนเรากลัวเสียตัวเอง กลัวเสียหน้า (ศักดิ์ศรี) มากที่สุด
คนไทยมีแนวโน้มที่จะเป็นอย่างนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ดูง่ายๆจากประเด็นทางการเมืองและทางศาสนา ซึ่งเห็นกันได้ชัดเจน เช่น
ทางการเมือง เราเชื่อข่าวที่มั่วเอา เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ไตร่ตรอง เราเชื่อข้อมูลมั่วๆของนักการเมืองเพื่อให้ตัวเองดูดี เราเชื่อเพราะเราไม่อยากสูญเสียหน้าตาและตัวตนที่เราเชื่อ เราไม่ใช้เหตุผลกับการเชื่อของเรา
ทางศาสนา เราเลือกหลับหูหลับตาเวลาเห็นพระทำอะไรไม่ดี เช่น พระยุยงให้คนฆ่ากัน เกลียดชังอีกฝ่าย เรามักบอกคนทำข่าวผิดที่ลงข่าวเรื่องพระมั่วกับสีกา นั่งเครื่องบินเจ็ท ขี่รถหรู ขายบุญจนร่ำรวย เราบอกคนที่ไม่เห็นด้วยและพยายามตีแผ่เรื่องพวกนี้ ว่าเป็นพวกทำลายศาสนา
เราเลือกที่จะไม่รับความจริง เพราะกลัวจะสูญเสียตัวเองที่เป็นมา ไม่กล้ารับความจริงที่เป็นความจริงๆ ติดอยู่กับความจริงของตัวเอง
สังคมเรามันถึงได้บิดเบี้ยว เพราะคนเราไม่ได้ใช้เหตุผลแต่ใช้อารมณ์และความรู้สึกมาชี้นำตัวเองมากเกินไป ทางพุทธศาสนา จึงบอกว่าแบบนี้ คือ พวกไม่มีปัญญา
จริงๆไม่ได้ยากอะไรเลย ที่เราจะใช้เหตุผลกับเรื่องต่างๆ แค่ตั้งคำถามกับเรื่องต่างๆ คำถามง่ายๆ เช่น ว่าจริงรึเปล่า? หาข้อมูลสักหน่อย คุณก็จะได้ความจริงมาเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจว่าอะไรดีหรือไม่ ควรหรือไม่ควร
ถ้าคนไทยลดการใช้อารมณ์มาเป็นตัวตัดสิน ใช้เหตุผลและหลักฐานตามความจริงมาพูดกัน เราจะได้สังคมที่พัฒนาไปมากกว่านี้
(จากเพจที่เห็นและเป็นอยู่)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น